Wednesday, November 20, 2024

THE ARTIFICIAL HUMORS (2016, Gabriel Abrantes, Portugal, about Brazil, 30min, A+30)

 

ดีใจที่เราได้ดูหนังของ Hou Hsiao-hsien หลายเรื่องในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพ

 

1. THE ASSASSIN (2015)

ดูที่ LIDO

 

2. THREE TIMES (2005)

ดูที่ DOC CLUB THEATRE (WAREHOUSE 30) ในวันที่ 23 ก.ย. 2018

 

3. CAFÉ LUMIERE (2003)

 ดูที่ LIDO

 

4. MILLENNIUM MAMBO (2002)

ดูที่ LIDO

 

5. FLOWERS OF SHANGHAI (1998)

ดูที่ HOUSE SAMYAN

 

6. A CITY OF SADNESS (1989)

ดูที่ห้องฉายหนังในห้องสมุดมหาลัย ธรรมศาสตร์

 

7. DUST IN THE WIND (1986)

ดูที่ SF CENTRAL WORLD ใน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK

 

8. A TIME TO LIVE AND A TIME TO DIE (1985)

ดูที่ SF CENTRAL WORLD ใน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK

 

ก็ได้แต่หวังว่าจะมีคนเอาหนังเรื่องอื่นๆ ของโหวมาลงโรงฉายให้พวกเราได้ดูกันอีกนะคะ

 

แต่ที่เราสงสัยมาก ๆ ก็คือว่า THE PUPPETMASTER (1993, Hou Hsiao-hsien) นี่มันเคยเข้าฉายในไทยด้วยหรือเปล่า เพราะเราเหมือนมีความทรงจำว่า เราเคยเห็นคุณ “ตีตั๋ว” เขียนชื่นชมหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงในนิตยสารเอนเตอร์เทนเมื่อ 30 ปีก่อน เราก็เลยไม่แน่ใจว่า เราจำผิดหรือจำถูก มีใครพอจะยืนยันได้บ้างคะว่า THE PUPPETMASTER ของโหว เคยเข้าฉายในไทยไหม แล้วตอนนั้นหนังตั้งชื่อภาษาไทยว่าอะไร

***

 

THE ARTIFICIAL HUMORS (2016, Gabriel Abrantes, Portugal, about Brazil, 30min, A+30)

 

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่ลิงค์นี้จนถึงราว ๆ เที่ยงวันศุกร์ที่ 22 พ.ย.นะ

https://www.lecinemaclub.com/now-showing/os-humores-artificiais/

 

ก่อนหน้านี้เราเคยดู TAPROBANA (2014, Gabriel Abrantes) ในงาน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK และหนังเรื่องนั้นติดอันดับ 1 ในบรรดาหนังสั้นต่างชาติที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2014

 

 

REMEMBERING MILLENNIUM MAMBO

 

พอเห็น MILLENNIUM MAMBO (2001, Hou Hsiao-hsien, Taiwan, A+30) กับ THE WAYWARD CLOUD (2005, Tsai Ming-liang, Taiwan, A+30) กลับมาฉายใหม่ เราก็เลยขอรื้อฟื้นความทรงจำว่า เราเคยดูหนังสองเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อใด แล้วก็พบว่า

 

เราได้ดู MILLENNIUM MAMBO ในวันที่ 27 ส.ค. 2002 ที่โรงภาพยนตร์ LIDO จำได้ว่ายุคนั้นเราชอบฟังรายการวิทยุ “หนังหน้าไมค์” ของคุณนราและผองเพื่อนด้วย และเราจำได้ว่ารายการ หนังหน้าไมค์ วิเคราะห์หนังเรื่อง MILLENNIUM MAMBO ได้ดีมาก ๆ เหมือนมีการวิเคราะห์มุมกล้องและการวางเฟรมภาพในบางซีนในหนังเรื่องนี้ในแบบที่เราไม่ได้สังเกตมาก่อน

 

ส่วน THE WAYWARD CLOUD เราได้ดูในวันที่ 24 ต.ค. 2005 ที่โรงภาพยนตร์สยาม ดิสคัฟเวอรี่ ซึ่งถ้าหากเราจำไม่ผิด เราได้ดูหนังเรื่องนี้ในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลภาพยนตร์ WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK ที่จัดโดยคุณเกรียงศักดิ์ ศิลากอง โดยปีนั้นมีการจัดงาน RETROSPECTIVE ของ ULRIKE OTTINGER ด้วย และเทศกาล WORLD FILM ปีนั้นก็มีการจัดฉายหนังที่เราชื่นชอบสุดขีดมากมายหลายเรื่อง อย่างเช่น

 

1.CASE FOR A ROOKIE HANGMAN (1969, Pavel Juracek, Czechoslovakia)

 

2.AFTERNOON (2005, Poopaan Sornwismongkol)

 

3.MOTHERLAND HOTEL (1986, Omer Kavur, Turkey)

 

4.I AM A SEX ADDICT (2005, Caveh Zahedi)

 

5. ANGEL’S FALL (2005, Semih Kaplanoglu, Turkey)

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่อยากดู MILLENNIUM MAMBO ซ้ำรอบสอง หลังจากเคยดูในโรงภาพยนตร์ไปแล้วในวันที่ 27 ส.ค. 2002 คือเราก็ชอบหนังเรื่องนี้มากนะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากดูมันซ้ำ ซึ่งแตกต่างจาก THE ASSASSIN (2015, Hou Hsiao-hsien) ที่เราดูซ้ำสองรอบที่โรงลิโด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงอยากดู THE ASSASSIN ซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่ได้อยากดู MILLENNIUM MAMBO ซ้ำอีกรอบ 55555

 

แต่พอคิดทบทวนถึงหนังในยุคสมัยเดียวกับ MILLENNIUM MAMBO แล้วก็พบว่ามีหนังเรื่องนึงที่เราอยากดูซ้ำรอบสองมาก ๆ นั่นก็คือ LOVE WILL TEAR US APART (1999, Yu Lik-wai, Hong Kong) ที่เราเคยดูตอนมันมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์อะไรสักอย่างในกรุงเทพในยุคนั้น ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากดูหนังเรื่องนี้ซ้ำอย่างรุนแรง เป็นปริศนาสำหรับตัวเราเองเช่นกันว่าทำไมหนังบางเรื่องเราถึงอยากดูซ้ำ แต่หนังบางเรื่องเราก็ไม่อยากดูซ้ำ แต่รู้แค่ว่า LOVE WILL TEAR US APART ของ Yu Lik-wai นี่แหละ เป็นหนังที่เราอยากดูซ้ำอีกรอบมาก ๆๆๆๆๆๆ

 

เมื่อไม่กี่วันก่อนเราเพิ่งเจอเพื่อนเก่าคนนึง เขาเล่าให้ฟังว่าพี่สาวของเขาไปดู FLOW (2024, Gints Zilbalodis, Latvia, animation, A+30) ทุกรอบที่ฉายที่ HOUSE ด้วย เหมือน FLOW ฉายเมื่อไหร่ก็ไปดูทุกครั้ง เราก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจดี ที่ผู้ชมแต่ละคนก็จะมีหนังที่ “อยากดูซ้ำไปซ้ำมา” แตกต่างกันไปเป็นของตัวเอง

Sunday, November 17, 2024

GOLDEN INEXPLICABILITY OF LIFE AWARD

  

บันทึกชีวิตว่า ตอนนี้เรียนจบมหาลัยมา 30 ปีพอดี เพราะในใบจบมันบอกว่า เราเรียนจบวันที่ 16 พ.ย. 1994 (หรือพ.ศ. 2537) ตอนนั้นเราเรียน 3 ปีครึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็สอบเทอมสุดท้ายเสร็จราว ๆ ต้นเดือนต.ค. 1994 แต่ในใบจบบอกว่า เรา graduate ในวันที่ 16 พ.ย. 1994 เราก็เลยถือว่าเราเรียนจบวันนั้นก็แล้วกัน

 

30 ปีผ่านไป ก็พบว่าตอนนี้ตัวเองเป็น loser อย่างสมบูรณ์แบบ ประสบความล้มเหลวทั้งเรื่องการงาน, การเงิน, สุขภาพ และ “หาผัวไม่ได้” กรี๊ดดดดดดดดดดดดด

 

อยากย้อนเวลากลับไปบอกตัวเองสมัยเรียนมหาลัยว่า “เรียนไปก็ปวดหัว หาผัวดีกว่า”

 

แต่ช่วงเรียนมหาลัยก็ถือเป็นหนึ่งในช่วงที่มีความสุขมาก ๆ จริง ๆ นะ เพราะได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ถึงแม้ตอนนั้นจะจนมาก จำได้ว่าตอนนั้นเราแทบไม่เคยกินข้าวกลางวันเลย เพราะเราเก็บเงินค่าข้าวกลางวันวันละ 20 บาท เพื่อเอาไปซื้อเทปเพลง คือถ้าเรางดกินข้าวกลางวัน 5 วัน เราก็จะได้เงินราว 100 บาท เพื่อเอาไปซื้อเทปเพลงได้ 1 ม้วนพอดี ยุคนั้นเราก็เลยเน้นกินข้าวเช้ากับข้าวเย็นที่บ้าน ส่วนข้าวกลางวันเราไม่กิน เราจะได้มีเงินพอซื้อเทป

 

ถึงแม้ปัจจุบันเราจะเป็น loser อย่างเต็มตัว ชีวิตมีแต่ความล้มเหลวและพังพินาศ แต่ก็คิดซะว่า เรายังมี “อดีตที่งดงาม” ให้ย้อนรำลึกถึงก็แล้วกัน โดยเฉพาะอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน

*****

ประกาศผล “รางวัล ไม่ทราบชีวิต ทองคำ” หรือ “GOLDEN INEXPLICABILITY OF LIFE AWARD” สำหรับหนังที่ดิฉันได้ดูใน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK 2024

 

สรุปว่าเราได้ดูหนังในงาน WORLD FILM ปีนี้แค่ 46 เรื่อง ซึ่งรวมถึงหนังสั้นด้วย ทุกเรื่องชอบในระดับ A+30

 

และเราก็ขอประกาศมอบรางวัล GOLDEN INEXPLICABILITY OF LIFE AWARD หรือ “รางวัล ไม่ทราบชีวิต ทองคำ” สำหรับหนังที่เราชอบที่สุดที่ได้ดูในงาน WORLD FILM ปีนี้ ให้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง APRIL (2024, Dea Kulumbegashvili, Georgia, 134min) ค่ะ

หนังที่ได้ดูในงานเวิลด์ฟิล์มปีนี้ เรียงตามลำดับความชอบ

 

1.APRIL (2024, Dea Kulumbegashvili, Georgia, 134min)

 

2.UNIVERSAL LANGUAGE (2024, Matthew Rankin, Canada, 89min)


3.MISERICORDIA (2024, Alain Guiraudie, France, 102min)

4.YOUTH (SPRING) (2023, Wang Bing, documentary, 3hrs 32mins)

 

5.YOUTH (HARD TIMES) (2024, Wang Bing, documentary, 3hrs 47mins)

 

6.YOUTH (HOMECOMING) (2024, Wang Bing, documentary, 152min)

7.LOVE (2024, Dag Johan Haugerud, Norway, 119min)

8.SEX (2024, Dag Johan Haugerud, Norway, 125min)

9.VERMIGLIO (2024, Maura Delpero, Italy, 119min)

10.SNOW IN MIDSUMMER (2023, Keat Aun Chong, Malaysia, 116min)

 

11.AN ASIAN GHOST STORY (2023, Bo Wang, Hong Kong, Netherlands, 37 min)

 

12.BABY (2024, Marcelo Caetano, Brazil, 107min)

13.DAHOMEY (2024, Mati Diop, France/Senegal/Benin, documentary, 68min)

 

14.A TRAVELER’S NEEDS (2024, Hong Sang-soo, South Korea, 90min)

15. PEPE (2024, Nelson Carlo de Los Santos Arias, Dominican Republic, 122min)

16. DYING (2024, Matthias Glasner, Germany, 180min)

17. THE CATS OF GOKOGU SHRINE (2024, Kazuhiro Soda, Japan, documentary, 119min)

18. TO A LAND UNKNOWN (2024, Mahdi Fleifel, Palestine/Greece/Denmark, 105min)

 

19. MOTHER OF FOG (2023, Farah Al Qasimi, United Arab Emirates, 29 min)

 

20. BY THE STREAM (2024, Hong Sang-soo, South Korea, 111min)

21. YOU, MY, OMMA, MAMA (2024, Laure Prouvost, Belgium, France, Austria, 15 min)

 

22. LOOK ON THE BRIGHT SIDE (2023, Wang Yuyang, France, Italy, 17 min)

 

23. PHANTOSMIA (2024, Lav Diaz, Philippines, 4hrs 10mins)

 

24. SNOW LEOPARD (2023, Pema Tseden, China, 109min)

25. MALU (2024, Pedro Freire, Brazil, 100min)

26. VIET AND NAM (2024, Minh Quy Truong, Vietnam, 129min)

 

27. SANTOSH (2024, Sandhya Suri, India, 120min)


28. ABOVE THE DUST (2024, Wang Xiaoshuai, China, 123min)

29. POOJA, SIR (2024, Deepak Rauniyar, Nepal, 115min)

 

30. THE DAMNED (2024, Roberto Minervini, Italy/Belgium/USA, 89min)


31. PRACTICE, PRACTICE, PRACTICE (2024, Kevin Jerome Everson, 10 min)

 

32. SOME RAIN MUST FALL (2024, Qiu Yang, China, 98min)

33. REVOLVING ROUNDS (2024, Johann Lurf, Christina Jauernik, Austria, 11 min, 3D)

 

34. THE QUIET SON (2024, Delphine Coulin, Muriel Coulin, France/Belgium, 118min)

 

35. CU LI NEVER CRIES (2024, Pham Ngoc Lan, Vietnam, 93min)

 

36. MA -- CRY OF SILENCE (2024, The Maw Naing, Myanmar, 74min)

37. ARCHIPELAGO OF EARTHEN BONES – TO BUNYA (2024, Malena Szlam, Canada, Australia, 20 min)

38. MOTEL DESTINO (2024, Karim Aïnouz, Brazil, 115min)

 

39. HOW TO RUN A TROTLINE (2024, Carl Elsaesser, United States, 18 min)

 

40. BLUE SUN PALACE (2024, Constance Tsang, USA, 116min)

 

41. PIERCE (2024, Nelicia Low, Singapore/Taiwan/Poland, 109min)

42. GINKGO AND OTHER TIMES (2023, Tang Han, Germany, 15 min)

43. WHAT’S SOFTEST IN THE WORLD RUSHES AND RUNS OVER WHAT’S HARDEST IN THE WORLD (2024, Charmaine Poh, Singapore, Germany, 14 min)

 

44. BLINDED BY CENTURIES (2023, Parinda Mai, Thailand, 13 min)

45. I WOULD RATHER BE A STONE (2024, Ana Husman, Croatia, 24 min)

46. GROWING PILLARS (2023, Tromarama, Indonesia, 12min)


รูปสุดท้ายที่เราแปะคือรูปตั๋วหนังที่เราซื้อไว้แต่ไม่ได้เข้าไปดูนะ ซึ่งรวมถึงตั๋วหนังเรื่อง SMILE 2 ที่อยู่นอก FESTIVAL แต่เราซื้อไว้ในช่วงที่มีการจัดเทศกาลด้วย

APRIL


เห็นด้วยกับคุณเต้ ไกรวุฒิ จริง ๆ ที่บอกว่า APRIL (2024, Dea Kulumbegashvili, Georgia, A+30) นี่มาเพื่อปะทะกับ Philippe Grandrieux และ Sharunas Bartas ของจริง

 

อยากให้มีคนทำหนัง found footage เพื่อเอาหนังเหล่านี้มาปะทะกัน

 

1. APRIL (2024, Dea Kulumbegashvili, Georgia, A+30) นำแสดงโดย Ia Sukhitashvili

 

2. CHANGE NOTHING (2009, Pedro Costa, Portugal/France) นำแสดงโดย Jeanne Balibar

 

3. THE CORRIDOR (1995, Sharunas Bartas, Lithuania) นำแสดงโดย Yekaterina Golubeva

 

4. SOMBRE (1998, Philippe Grandrieux, France) นำแสดงโดย Elina Löwensohn

 

5. พญาโศกพิโยคค่ำ THE EDGE OF DAYBREAK (2021, Taiki Sakpisit) นำแสดงโดย Manatsanun Phanlerdwongsakul

 

รู้สึกว่าหนัง 5 เรื่องข้างต้นมี “สไตล์” ที่เหมาะจะนำมาเปรียบเทียบกันมาก ๆ

 

แต่ถ้าหากพูดถึงเนื้อหาของ APRIL แล้ว เรานึกไปถึงหนังเรื่อง PUSH! PUSH! (1997, Park Cheol-su, South Korea, A+30) ที่เคยมาฉายใน Bangkok Film Festival สมัยยังจัดที่ห้างเอ็มโพเรียมด้วย เพราะ PUSH! PUSH! เล่าเรื่องของหมอสูตินารีสาวที่ทำงานทั้งช่วยคนคลอดลูกและช่วยผู้หญิงทำแท้งด้วยเหมือนกัน แต่เหมือนในเกาหลีใต้นั้น การทำแท้งสามารถทำได้อย่างถูกกฎหมายในบางกรณีมั้ง ถ้าจำไม่ผิด แต่ PUSH! PUSH! เป็นหนังที่เล่าเรื่องอย่างสมจริงเป็น fragments ไปเรื่อย ๆ เพื่อนำเสนอคนไข้รายต่าง ๆ ที่น่าสนใจเป็นจำนวนมากมายหลายคน เพราะฉะนั้น PUSH! PUSH! ก็เลยไม่ได้มีสไตล์ที่คล้ายกับ APRIL แต่อย่างใด

 

จำได้ว่าตอนที่ PUSH! PUSH! มาฉายที่ห้างเอ็มโพเรียม หนังเรียกเสียงฮือฮามาก ๆ เพราะบางฉากในหนังเกาหลีใต้เรื่องนี้ กล้องจะถ่ายจากมุมมองของ “อวัยวะเพศหญิง” คือเหมือนดวงตาของผู้ชม (หรือกล้องของหนัง) จะอยู่ตรงจุดเดียวกับอวัยวะเพศหญิง และเห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ แยงเข้ามาที่กล้อง (หรือดวงตาของผู้ชม)

 

ส่วน APRIL นั้น ก็มีการเลือกใช้ตำแหน่งของกล้อง หรือการเฟรมฉากบางฉาก ได้อย่างสุดตีนมาก ๆ เช่นกัน

+++

สรุปว่าดู YOUTH ของ Wang Bing ไปแล้วทั้ง 3 ภาค ซึ่งมีความยาวรวมกันเพียงแค่ 590 นาที หรือ 9 ชั่วโมง 50 นาทีแล้วก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่า เราอยากได้ใครเป็นสามีมากกว่ากัน ระหว่าง “เสียวเว้ย” กับ “เฉินชิงเต่า” เพราะเราหลงรักแรงงานหนุ่มทั้งสองคนนี้มาก ๆ ปวดหัวมาก ๆ ไม่รู้ว่าจะเลือกใครดี แต่ในที่สุดเราก็บอกตัวเองว่า เราไม่เห็นจำเป็นจะต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่งระหว่างสองคนนี้เลย เพราะทั้งสองคนนี้เขาก็ไม่ได้เลือกเราอยู่ดี จบ

 

หวังว่าจะมีคนเอา CRUDE OIL (2008, Wang Bing, 14hrs) มาฉายให้เราได้ดูก่อนตายนะคะ

++++

การที่หนังเรื่อง SNOW LEOPARD ฉายต่อจาก THE CATS OF GOKOGU SHRINE (2024, Kazuhiro Soda, Japan, documentary, A+30) นี่มันคือ perfect double bill มาก ๆ

 

+++

 

ในที่สุดเราก็ขอน้อมนำหลักคำสอน “มัชฌิมาปฏิปทา” หรือ “ทางสายกลาง” ของศาสนาพุทธมาใช้ ด้วยการดูหนังในวันเสาร์ที่ 16 พ.ย.เพียงแค่ 4 เรื่องพอ

 

อย่างที่เราโพสท์ไปก่อนหน้านี้ว่า ตอนแรกเรากะจะดูหนัง 5 เรื่อง ซึ่งได้แก่

 

1. YOUTH (HOMECOMING) (2024, Wang Bing, documentary, 152min, A+30)

 

2.THE CATS OF GOKOGU SHRINE (2024, Kazuhiro Soda, Japan, documentary, 119min, A+30)

 

3. SNOW LEOPARD (2023, Pema Tseden, China, 109min, A+30)

 

4. APRIL (2024, Dea Kulumbegashvili, Georgia, 134min, A+30)

 

5. KANGUVA (2024, Siva, India, 152min) ที่ PARAGON รอบ 21.30 น.

 

แต่พอเราดู APRIL เสร็จ เราก็ลังเลใจว่าเราจะไปดู KANGUVA ต่อดีมั้ย แล้วก็เหมือนมีเสียงคนพูดในหัวเราว่า “ยึดหลักทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา” ดีกว่า ดูหนังโรง 4 เรื่องต่อวัน มันก็น่าจะเป็นทางสายกลางสำหรับคนวัย 51 ปีอย่างเราแล้ว ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เราก็เลยตัดสินใจ ยึดหลักทางสายกลาง ด้วยการกลับอพาร์ทเมนท์เลย ไม่ได้ดูหนังเรื่องที่ 5 ต่อ

 

นึกถึงสมัย 20 กว่าปีก่อน ตอนนั้นการดูหนังโรง 6 เรื่องต่อวันในช่วงเทศกาลภาพยนตร์ ถือเป็นเรื่องปกติ และก็มีวันนึงที่เราเคยดู 7 เรื่องต่อวันด้วย ซึ่งก็คือวันที่ 30 ก.ย. 2000 ซึ่งวันนั้นเราได้ดูหนังเรื่อง

 

1. WILLOW AND WIND (1999, Mohammad Ali-Talebi, Iran, 81min, A+30)

2. SANTA FE (1997, Andrew Shea, 97min, A+15)

3. RETURN OF THE IDIOT (1999, Sasa Gedeon, Czech, 99min, A+30)

4.THE NINTH GATE (1999, Roman Polanski, France/Spain, 133min, A+30)

5.MY FIRST MISTER (2000, Christine Lahti, 109min, A+15)

6. THE CORNDOG MAN (1999, Andrew Shea, 83min, A-)

7.RHYTHM THIEF (1994, Matthew Harrison, 88min, A+20)

 

วันนั้นเราได้ดูหนังทั้ง 7 เรื่องที่ Emporium ในเทศกาล Bangkok Film Festival

 

แต่ตอนนั้นเราก็อายุแค่ 27 ปีนะ การดูหนังโรง 7 เรื่องต่อวันมันก็เป็นสิ่งที่ทำได้สบายอยู่แล้วสำหรับคนอายุ 27 ปี แต่ตอนนี้เราอายุ 51 ปีแล้ว คิดว่า “ทางสายกลาง” สำหรับเราในวัยนี้ ก็คงเป็น 4 เรื่องต่อวันนี่แหละ จบ

 

 

Friday, November 15, 2024

HEAVEN AND HELL TOUR

 

ประสบการณ์ WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK ประจำวันที่ 14 NOV 2024 = พระมาลัย ท่องแดนนรกและสวรรค์

วันนี้ดูหนัง 4 เรื่อง ซึ่งได้แก่  SANTOSH (2024, Sandhya Suri, India, 120min, A+30), PEPE (2024, Nelson Carlo de Los Santos Arias, Dominican Republic, 122min, A+30), BY THE STREAM (2024, Hong Sang-soo, South Korea, 111min, A+30) และ LOVE (2024, Dag Johan Haugerud, Norway, 119min, A+30)

 

พอดู 4 เรื่องเรียงตามลำดับข้างต้น แล้วรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นลูกทัวร์ของพระมาลัย มีพระมาลัยเป็นไกด์ทัวร์ พาไปดู “อเวจีชั้นต่ำสุด” ก่อน ซึ่งได้แก่ อินเดียที่เต็มไปด้วยปัญหาสังคมอย่างร้ายแรงมาก ๆ ดูแล้วนึกถึงหนังสารคดีของ Anand Patwardhan หลายๆ เรื่องที่เคยมาฉายในกรุงเทพมาก ๆ แล้วหลังจากนั้นพระมาลัยก็พาลูกทัวร์ขึ้นจากอเวจีชั้นต่ำสุด มาเยือนประเทศโคลอมเบียในหนังเรื่อง PEPE ที่สภาพบ้านเมืองอาจจะอยู่ในระดับเท่ากับหรือแย่กว่าไทยนิดหน่อย โดยหนังเรื่อง PEPE อาจจะไม่ได้พูดถึงปัญหาสังคมการเมืองโดยตรงเท่ากับ SANTOSH ยกเว้นในฉาก “ประกวดนางงาม” แต่หนังก็สะท้อนสภาพสังคมออกมาโดยอ้อมอยู่ดี

 

แล้วหลังจากนั้นพระมาลัยก็พาลูกทัวร์ มาเยือนเกาหลีใต้ในหนังเรื่อง BY THE STREAM ที่สภาพบ้านเมืองในหนังดูดีกว่า SANTOSH และ PEPE มาก ๆ แต่ก็ใช่ว่าประเทศของเขาจะไม่มีปัญหาการเมือง เพราะตัวละครใน BY THE STREAM ก็มีสถานะเป็น “เหยื่อทางการเมือง” อย่างเห็นได้ชัดมาก ๆ เช่นกัน เพียงแต่ว่าสภาพความเป็นอยู่อย่างอื่น ๆ ของตัวละครดูดีกว่าในอินเดีย, โคลอมเบีย และไทยมากๆ

 

แล้วหลังจากนั้นพระมาลัยก็พาลูกทัวร์ไปเยือน “สวรรค์ชั้นเจ็ด” ใน LOVE เพราะมันเป็นหนังนอร์เวย์ที่นำเสนอประเทศของตัวเองราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์จริง ๆ โดยเฉพาะจากมุมมองของคนไทยจนๆ อย่างเรา 55555

 

ดู LOVE แล้วชอบมากกว่า SEX (2024, Dag Johan Haugerud, Norway, A+30) นะ เพราะ SEX เหมือนมันเล่าผ่านมุมมองของผู้ชายสองคนที่มีความเป็น straight สูงมาก หรืออาจจะมีความ bisexual อยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่มุมมองที่จูนเข้ากับเรามากนัก แต่พอ LOVE มันเล่าผ่านมุมมองของตัวละครที่เป็นผู้หญิงกับเกย์ เราก็เลยจูนติดได้ง่ายกว่าเยอะเลย คล้าย ๆ กับความรุ้สึกของเราที่มีต่อหนังชุด SIX MORAL TALES ของ Eric Rohmer กับหนังชุด COMEDIES AND PROVERBS ของ Eric Rohmer เพราะหนังชุด SIX MORAL TALES มันเป็น “ผู้ชายมองผู้หญิง” แต่หนังชุด COMEDIES AND PROVERBS มันเป็น “ผู้หญิงมองผู้ชาย” เราก็เลยจะจูนติดกับหนังชุด COMEDIES AND PROVERBS มากกว่าหนังชุด SIX MORAL TALES

 

อีกจุดที่ทำให้นึกถึงหนัง Rohmer มาก ๆ ก็คือการที่เนื้อหาใน LOVE มันเกิดใน “เดือนสิงหาคม” เพราะเนื้อเรื่องในหนังของ Rohmer หลาย ๆ เรื่องก็มักจะเกิดในฤดูร้อนเหมือนกัน โดยเฉพาะ THE GREEN RAY (1986)

 

พอดู LOVE แล้วก็จะนึกถึงหนังเรื่อง WHAT I LOVE THE MOST (2010, Delfina Castagnino, Argentina, A+30) ด้วย เราได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนมันมาฉายใน WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK ในวันที่ 9 พ.ย. 2010 และถ้าเราจำไม่ผิด ตอนนั้นหนังเรื่อง WHAT I LOVE THE MOST ฉายควบกับหนังไทยเรื่อง “ตู้เย็นบิน” (2010, Nathan Homsup, A+30)

 

รู้สึกราวกับว่า เทศกาล WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK มีความสัมพันธ์อันดีกับ “ตระกูล DIOP” เพราะว่า เราได้ดูหนัง 3 เรื่องของตระกูลนี้ในเทศกาลนี้ 555555 ซึ่งหนัง 3 เรื่องนี้ประกอบด้วย

 

1.เราได้ดู HYENAS (1992, Djibril Diop Mambety, Senegal, A+30) ที่โรงภาพยนตร์ในห้างบิ๊กซี ราชดำริ ในวันที่ 23 ต.ค. 2004 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน

 

2. เราได้ดู ATLANTIQUES (2010, Mati Diop, Senegal/France, 16min, A+30) ที่โรงภาพยนตร์ สยาม พารากอน ในวันที่ 9 พ.ย. 2010 หรือเมื่อ 14 ปีก่อน

 

3. เราได้ดู DAHOMEY (2024, Mati Diop, France/Senegal/Benin, documentary, 68min, A+30) ที่ Central World ในวันเสาร์ที่ 9 พ.ย. 2024

 

Mati Diop เป็น niece ของ Djibril Diop Mambety

 

 

 

Thursday, November 14, 2024

HELL OF A DAY FOR A CINEPHILE

 

อันนี้คือตัวอย่างว่า ทำไมทุกวันนี้เราถึงฟังเทป cassette อยู่ เพราะ tape cassette มันบันทึกเสียงของ DJ เมื่อ 30 กว่าปีก่อนเอาไว้ อันนี้เป็นเสียงของ DJ อลิสรา ในรายการ HI NRG ในช่วง “21 นาทีก่อนตี 5” เวลาเราได้ฟังเทปพวกนี้ มันก็เลยทำให้รำลึกถึง “วันชื่นคืนสุขในอดีต” ได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะในยุคที่เราเรียนมหาลัย และต้องฟังรายการวิทยุตอน 24.00-05.00 น

 -----------

บันทึกความทรงจำว่า วันนี้เป็นวันที่กูต้องทิ้งตั๋วหนังไป 3 เรื่องค่ะ

 

1.ตั๋วอันแรกที่ทิ้งไปคือ BY THE STREAM เพราะกูกดซื้อตั๋วผิดวันเอง คือเราตั้งใจจะดู BY THE STREAM ในวันที่  14 แต่เราดันกดซื้อตั๋วผิดวันเป็นของวันที่ 13 เราก็เลยต้องทิ้งตั๋ว BY THE STREAM ไป 555

 

2.ตั๋วอันที่สองคือ MONGREL รอบ 13.30 น. ซึ่งอันนี้เกิดจาก “ความซวยตั้งแต่เกิด” ของเราเอง คือเราเป็นคนที่ “เหงื่อออกง่ายมาก ๆ” คือถ้าหากอุณหภูมิสูงเกิน 29 องศาเซลเซียสเมื่อไหร่ เหงื่อกูจะเริ่มออก

 

แล้ววันนี้ กูก็รีบกระหืดกระหอบออกจากอพาร์ทเมนท์มาดู MONGREL ท่ามกลางอากาศตอน 12.00-13.00 น.ของกรุงเทพ ซึ่งถึงแม้นี่จะเป็นกลางเดือนพ.ย. แต่อากาศก็ร้อนแบบหาความปรานีแทบไม่ได้ แล้วกูก็กระหืดกระหอบ กึ่งเดินกึ่งวิ่ง พยายามจะมาให้ทัน ผลปรากฏว่า พอมาถึง CENTRAL WORLD ชั้น 7 เหงื่อเราก็แตกพลั่กหนักมาก ๆ เราก็เลยคิดว่าจะหาไอติมกิน เพื่อให้เหงื่อหยุดไหลโดยเร็วที่สุด แต่กว่าอีร้านขายไอติมจะตักไอติมให้กูเสร็จ เหงื่อเราก็ท่วมตัวแล้ว เราก็เลยคิดว่า ไม่ไหวแล้วล่ะ ถ้าหากเราไม่อยากนั่งติดคนตัวเหม็น เราก็ต้องไม่ทำแบบนั้นกับคนอื่น ๆ ด้วย เราก็เลยตัดสินใจกลับอพาร์ทเมนท์ไปอาบน้ำใหม่ แล้วก็ทิ้งตั๋ว MONGREL ไปเลย

 

ก็เลยกลับอพาร์ทเมนท์ มาอาบน้ำใหม่อีกรอบ แล้วก็ออกเดินทางใหม่โดยยึดถือคติว่า “เราจะต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้า เพื่อไม่ให้เหงื่อเราแตก” เราก็เลยเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้า จนมาถึง CENTRAL WORLD ใหม่ แล้วก็ดูโปรแกรม WINDOWS 4: SOMEWHERE IN THE LAND OF IMAGINATION กับ YOUTH (HARD TIMES) (2024, Wang Bing, China, documentary, 3hrs 47mins, A+30) ไปค่ะ

 

3.ตั๋วอันที่ 3 ที่เราทิ้งไปคือ SMILE 2 รอบ 21.50 น. เพราะแผนเราผิดพลาด คือตอนแรกเรานึกว่าโปรแกรม WINDOWS 4 มันจะเสร็จราว ๆ 17.30 น. แล้วเราก็จะมีเวลาแดกขนมปังเบเกอรี่สัก 15 นาที แล้วค่อยดู YOUTH (HARD TIMES) ตอน 17.45 น. แล้วก็ดู SMILE 2 ตอน 21.50 น.

 

แต่โปรแกรม WINDOWS 4 มันเลิกเลท เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่มีเวลาแดกขนมปังอะไรทั้งสิ้น ก็เลยได้ดื่มแค่น้ำเปล่า 1 ขวด แล้วก็ต้องรีบเข้าไปดู YOUTH (HARD TIMES) เลย ซึ่งตอนแรกเราก็รู้สึกสบาย ๆ เพราะตอน 17.45 น. กูยังไม่รู้สึกหิวแต่อย่างใด

 

แต่ YOUTH (HARD TIMES) มันยาว 3 ชั่วโมง 47 นาที เพราะฉะนั้นระหว่างที่ดูหนังเรื่องนี้ จากที่รู้สึกสบาย ๆ ก็กลายเป็นรู้สึกหิวจนแทบเป็นลมในเวลาต่อมา แต่เราก็ไม่อยากพลาดฉากแรงงานหนุ่ม ๆ ชาวจีนถอดเสื้อในหนังเรื่องนี้ ก็เลยดูไปจนจบ แล้วก็กลับอพาร์ทเมนท์ดีกว่า คิดว่าคงดู SMILE 2 ต่อไม่ไหวแล้ว

 

ก็เลยสรุปวิบากกรรมของวันนี้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ 555

Wednesday, November 13, 2024

I WISH I HAD A HEART ATTACK IN A FILM FESTIVAL

 

วันนี้ดูหนัง 4 เรื่องติดกันใน WORLD FILM หาเวลาแดกข้าวอย่างจริง ๆ จัง ๆไม่ได้เลย ได้กินแค่ข้าวเช้าตอน 10 โมง แล้วก็ได้กินขนมเบเกอรี่เล็ก ๆ น้อย ๆ ในระหว่างรอบฉายแต่ละเรื่อง แต่เวลาในระหว่างรอบฉายก็ไม่มากพอที่จะแดกขนมได้หมด สรุปกูเพิ่งมีเวลามาแดกขนมเบเกอรี่ที่ซื้อตุนไว้จนหมดได้ก็ต่อเมื่อกลับถึงอพาร์ทเมนท์ในเวลา 23.05 น.

 

แต่ถึงจะไม่ได้มีเวลาแดกข้าวเลยในระหว่างวัน แต่ก็อิ่มทิพย์จากหนังที่ได้ดูมาก ๆ ถือเป็นวันที่มีความสุขสุดขีดอยู่ดี

 

ถ้าเราหัวใจวายตายขณะดูหนัง บางทีอาจจะเป็นการตายที่เหมาะสมกับเราที่สุดแล้ว 55555

Tuesday, November 12, 2024

SNOW IN MIDSUMMER

 

บางครั้ง “สถานที่ฉาย” ก็มีอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อ “ความรู้สึกของตัวเราที่มีต่อหนังที่ได้ดู” จริง ๆ ซึ่งกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับเราก็คือ SNOW IN MIDSUMMER (2023, Keat Aun Chong, Malaysia, A+30) ที่เราเพิ่งได้ดูในวันที่ 11 พ.ย.ที่ “CENTRAL WORLD”

 

คือถ้าหากเราไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงฉายที่ CENTRAL WORLD เราก็คงไม่ได้รู้สึกกับหนังเรื่องนี้แบบนี้ คือถ้าหากเราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์อื่นๆ เราก็คงชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ เหมือนเดิมแหละ แต่ “ความรู้สึกระหว่างที่ดูหนัง” ก็คงแตกต่างไปจากที่เรารู้สึกกับมันตอนดูที่ CENTRAL WORLD

 

คือหนังเรื่องนี้เล่าถึงเหตุการณ์เดียวกับในหนังเรื่อง THE TREE REMEMBERS (2019, Lau Kek Huat, Taiwan, about Malaysia, documentary, A+30) ที่หลายคนคงเคยดูไปแล้ว นั่นก็คือเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวจีนในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในปี 1969 ที่อาจจะมีผู้เสียชีวิตราว 600 คน โดยตัวหนัง SNOW IN MIDSUMMER นั้นนำเสนอทั้งเหตุการณ์สังหารหมู่ในปี 1969 และนำเสนอภาพปัจจุบันของ “สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่” ด้วย ว่าพอเวลาผ่านมานานราว 50 ปีแล้ว สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่มันกลายสภาพไปเป็นอะไรแล้วในยุคปัจจุบัน

 

แล้วพอเราดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ที่ CENTRAL WORLD ตอนดูหนังเราก็จะรู้สึกหลอนสุดขีดมาก ๆ น่ะ เพราะถึงแม้หนังเรื่องนี้มันไม่ได้ตั้งใจ ใจเราก็จะนึกไปถึงเหตุการณ์สังหารหมู่เสื้อแดงที่ราชประสงค์ในปี 2010 ในหลาย ๆ นาทีขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้

 

มันเหมือนคราบเลือดที่อยู่ในจอภาพยนตร์ มันไม่ได้อยู่แค่ในจอภาพยนตร์ แต่มันอยู่ใต้เท้าของเราในขณะที่กำลังนั่งดูหนังเรื่องนี้อยู่ด้วย

 

ก็เลยรู้สึกว่าประสบการณ์การชมหนังเรื่อง SNOW IN MIDSUMMER ในโรงภาพยนตร์ที่ CENTRAL WORLD มันเป็นอะไรที่สุดขีดมาก ๆ สำหรับเรา ซึ่งถ้าหากเราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์อื่น ๆ เราก็คงไม่รู้สึกอะไรแบบนี้

Saturday, November 09, 2024

TO A LAND UNKNOWN (2024, Mahdi Fleifel, Greece/Palestine, A+30)

 

เมื่อวานดู TO A LAND UNKNOWN (2024, Mahdi Fleifel, Greece/Palestine, A+30) แล้วเราก็บอกเพื่อน ๆ ว่า มันเหมือนเขาเอาหนังสารคดีที่เขาเคยทำมาแล้วมาดัดแปลงเป็น fiction เพราะเนื้อหาในหนังเรื่องนี้มันเหมือนสารคดีที่เขาเคยทำมาแล้วมาก ๆ พอดูเสร็จก็เลยต้องค้นว่าเนื้อหาใน TO A LAND UNKNOWN มันเหมือนสารคดีเรื่องอะไร ซึ่งก็คือเรื่อง XENOS (2013, Mahdi Fleifel, documentary, A+30) นั่นเอง

 

ประเด็นหลักที่คุยกับเพื่อน ๆ cinephiles เมื่อวานคือ “เราคิดถึง จอห์นนี่ เหงียน” เพราะพอได้ดู VIET AND NAM (2024, Truong Minh Quy, Vietnam, A+30) แล้วก็เลยทำให้รำลึกขึ้นมาได้ว่า พวกเราเคยดู “หนังเลสเบียนเวียดนาม” เรื่อง ADRIFT (2009, Bui Thac Chuyen) ในเทศกาลภาพยนตร์อะไรสักอย่างในกรุงเทพ ซึ่งเป็นหนังที่นำแสดงโดย “จอห์นนี่ เหงียน” แล้วก็เลยจำได้ว่า เหมือนจอห์นนี่ เหงียนจะเป็นสามีในฝันของขาประจำเทศกาลภาพยนตร์ในกรุงเทพอยู่ช่วงนึง แต่ไม่รู้เขาหายไปไหนแล้ว แทบไม่ได้ดูหนังที่เขาเล่นเลยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

 

ชอบ PHANTOSMIA อย่างรุนแรง แต่อยากดู A TALE OF FILIPINO VIOLENCE (2022, Lav Diaz, 6hrs 49mins) กับ ESSENTIAL TRUTHS OF THE LAKE (2023, Lav Diaz, 3hrs 35min) มาก ๆ เพราะเหมือนหนังสองเรื่องนี้ยังไม่ได้เข้าโรงฉายในไทย