Saturday, January 18, 2025

THE MOST LYNCHIAN THAI FILM

 

David Lynch มีอิทธิพลต่อภาพยนตร์ศรีลังกาด้วย เราเองก็ชอบหนังของ Vimukthi มาก ๆ หนังของ Vimukthi เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพ 3 เรื่อง ซึ่งก็คือ THE FORSAKEN LAND (2005) ที่ฉายใน World Film Festival of Bangkok, BETWEEN TWO WORLDS (2009) ซึ่งฉายที่หอศิลป์กทม. และ LIGHT IN THE YELLOW BREATHING SPACE (2012) ซึ่งฉายที่หอศิลป์กทม.

 

David Lynch ขณะรับบทเป็น John Ford ใน THE FABELMANS (2022, Steven Spielberg, A+30)

 

ถ้าหากถามว่ามีหนังไทยเรื่องไหนที่เราดูแล้วนึกถึงคำว่า LYNCHIAN มากที่สุด เราก็นึกถึง PATTERNS OF TRANSCENDENCE (2006, Jakrawal Nilthamrong, 49min, A+30) นี่แหละ เราว่า PATTERNS OF TRANSCENDENCE นี่เหมาะฉายควบกับหนังของ David Lynch อย่างรุนแรงมาก ๆ

 

เราว่าหนังของ Jakrawal Nilthamrong บางเรื่อง ก็ทำให้เรานึกถึง David Lynch ด้วย โดยเฉพาะ VANISHING POINT (2015) ที่เราว่าเหมาะฉายควบกับ LOST HIGHWAY (1997, David Lynch) อย่างรุนแรงมาก

 

เราเคยเขียนถึงประเด็นนี้ไว้แล้วที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10208378934734318&set=a.10208356859102441

 

จริง ๆ แล้วหนังหลาย ๆ เรื่องของ Teeranit Siangsanoh ก็ทำให้นึกถึง David Lynch เหมือนกัน แต่ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด คุณ Teeranit น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจาก Derek Jarman และ Maya Deren มากกว่า David Lynch เพราะฉะนั้นเราก็เลยขอยกตำแหน่งหนังไทยที่ LYNCHIAN ที่สุด ให้กับ PATTERNS OF TRANSCENDENCE ของคุณ Jakrawal Nilthamrong ก็แล้วกัน

++++

 

RIP JEANNOT SZWARC (1939-2025)

 

เราชอบ SOMEWHERE IN TIME รักเอย ไม่เคยเลยลับ (1980) ที่เขากำกับมาก ๆ แต่เราเคยดู SUPERGIRL (1984, Jeannot Szwarc) ตอนเด็ก ๆ แล้วเราเฉยมาก ๆ ไม่รู้ว่าถ้าหากเราได้ดูอีกครั้งตอนโตแล้วเราจะชอบ SUPERGIRL มากขึ้นหรือเปล่า

 

อยากดู A SUMMER WITHOUT BOYS (1973, Jeannot Szwarc) ที่เขากำกับมาก ๆ เพราะหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับแม่และลูกสาวที่ตบตีแย่งผู้ชายกัน

Thursday, January 16, 2025

I IDENTIFY MYSELF WITH THE MAID IN ANORA

 

เราดู ANORA (2024, Sean Baker, A+30) ในวันที่ 2 พ.ย. 2024 ซึ่งตอนนี้ก็ล่วงเลยผ่านมานาน 2 เดือนกว่าแล้ว ก็เลยขอจดบันทึกความทรงจำไว้แค่สั้น ๆ ว่า สิ่งที่อยู่ในใจเราตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือการที่เรา identify ตัวเองกับ Klara (Alena Gurevich) หรือสาวใช้ในหนังเรื่องนี้ และตอนนั้นเราก็ส่ง message บอกเพื่อนเกย์ที่สนิทกันในทันทีว่า “กูจองเป็นสาวใช้ในหนังเรื่องนี้” 55555

 

ซึ่งก็ประหลาดดี เพราะในหนังเรื่อง THE HOLDOVERS (2023, Alexander Payne, A+30) นั้น เรา identify ตัวเองกับตัวละครกะหรี่สูงอายุ (Melissa McMeekin) ในหนังเรื่องนั้น แต่ใน ANORA ซึ่งเต็มไปด้วยตัวละครกะหรี่สาวมากมาย เรากลับไป identify ตัวเองกับตัวละครสาวใช้โดยไม่มีสาเหตุ

 

เราเดาว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะว่า

 

1. หนังเรื่อง ANORA ไม่ได้ให้ข้อมูลตัวละคร Klara มากนัก หนังเรื่องนี้ก็เลยเปิดโอกาสให้เราเอาตัวเอง + จินตนาการของตัวเอง ไปใส่ไว้ในตัวละคร Klara ได้สบาย ๆ

 

2. คือตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ + ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว หัวสมองของเราก็เต็มไปด้วยจินตนาการเกี่ยวกับตัวละคร Klara น่ะ คือเราจินตนาการว่า ตัวเองคือ Klara ในหนังเรื่องนี้ และเราแอบ want เจ้านาย หรือ Vanya (Mark Eydelshteyn) มาโดยตลอด แต่เราไม่สวย ไม่เซ็กซี่ เขาก็เลยไม่เคยเหลียวแลเราเลย และเราก็อิจฉานางเอกอย่างมาก ๆ แต่สิ่งที่เราทำได้ ก็มีเพียงแค่ ทำงานเป็นสาวใช้ต่อไป ไม่มีโอกาสได้เย็ดกับเจ้านายหนุ่มหล่อ ได้แต่ want เขาอย่างเงียบ ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ

 

คือหนังเรื่อง ANORA ไม่ได้ให้ข้อมูลเหล่านี้นะ แต่หนังเรื่องนี้มันกระตุ้นให้เรา identify ตัวเองกับสาวใช้และจินตนาการเนื้อเรื่องส่วนนี้ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

 

3. ซึ่งจินตนาการของเราข้างต้น มันก็สอดคล้องกับชีวิตจริงของเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะเราใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า เราอยากเป็นกะหรี่ โดยเฉพาะกะหรี่ที่ได้กับทหารอเมริกันหนุ่ม ๆ เวลายกพลขึ้นบกที่พัทยา มันคือความใฝ่ฝันในวัยเด็กของเรา แต่พอเราโตขึ้น เราก็ไม่มีแรงที่จะทำตามฝัน การจะผ่าตัดแปลงเพศมันไกลเกินไปสำหรับเรา และถ้าหากเราจะเบนเข็มมาเป็นกะหรี่เพศชาย การจะทำงานแบบนี้ให้ประสบความสำเร็จมาก ๆ ได้ก็ต้องหน้าตาดี + รูปร่างดี เพราะถ้าหากคุณหน้าตาไม่ดี + รูปร่างไม่ดี คุณก็จะได้แต่คนแก่ ๆ เป็นส่วนใหญ่  

 

เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่ง เราก็อินกับตัวละคร Anora มาก ๆ เพราะตัวละคร Anora ก็คือหนึ่งใน “ความใฝ่ฝัน” ของเราในวัยเด็ก

 

แต่เราก็อินกับตัวละคร Klara มากกว่า Anora เพราะตัวละครสาวใช้ Klara มันคือ “ชีวิตจริง” ของเรา ชีวิตจริงที่แม้แต่จะเป็นกะหรี่ ก็ขายไม่ออก เพราะหน้าตาตัวเองไม่ดีพอ ไม่เซ็กซี่พอ สิ่งที่ทำได้ก็มีแต่เพียงแอบ want ผู้ชายบางคนอย่างเงียบ ๆ ต่อไป

TRILOGY OF THAILAND-LAOS RELATIONSHIP

 

พอเห็นการโปรโมทของหนังเรื่อง “แฟลตเกิร์ล” อยู่ดี ๆ มันก็ไปกระตุ้นความทรงจำในวัยเด็กของเราให้กลับคืนมา เพราะตอนเด็ก ๆ เราก็อยู่แฟลตทหารตรงถนนประชาธิปไตย หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในตอนนี้ว่า “อาคารสงเคราะห์กองทัพบก (ส่วนกลาง)” มีความทรงจำบางอย่างในวัยเด็กที่เราไม่สามารถเขียน public ได้ 555555 แต่ก็ต้องขอบคุณการโปรโมทของหนังเรื่อง “แฟลตเกิร์ล” ที่ไปกระตุ้นความทรงจำลับ ๆ อันนี้ให้กลับคืนมา

 

เราอยู่แฟลตทหารในปี 1973-1976 เพราะว่าพ่อของเราเป็นทหารบก แต่พอพ่อของเราเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1976 ตอนที่เราอายุ 3 ขวบ ครอบครัวของเราก็ต้องย้ายออกจากแฟลตทหารแห่งนี้ ตอนแรกครอบครัวของเราก็ย้ายไปอาศัยอยู่ที่บ้านของเพื่อนพ่อคนหนึ่งซึ่งเป็นทหารเหมือนกับพ่อของเรา เพื่อนพ่อคนนี้ก็ประสบอุบัติเหตุในเหตุการณ์เดียวกัน แต่เขาแค่ได้รับบาดเจ็บที่ขา และหลังจากนั้นครอบครัวของเราก็ย้ายออกจากบ้านของเพื่อนพ่อ และไปเช่าบ้านอยู่แถววัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ตรงท่าวาสุกรี ในช่วงราวปี 1977-1978 มั้ง แต่ในบ้านเช่านั้นมีหลายครอบครัวอาศัยอยู่รวมกัน เรายังจำได้เลยว่า มีครอบครัวหนึ่งน่าจะนับถือศาสนาฮินดู และมีอีกครอบครัวหนึ่งเป็นผัวเมียที่ชอบเอากันเป็นประจำ จนเราอายุได้ราว 7 ขวบ ครอบครัวของเราถึงได้ย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองในฝั่งธนบุรี

 

พอลองเข้าไปดูใน GOOGLE EARTH เราก็พบว่า แฟลตทหารที่เราเคยอาศัยอยู่ในปี 1973-1976 ก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าอาคารแห่งนี้มีอายุกี่ปีแล้ว คิดถึงอดีตมาก ๆ เหมือนกัน

+++++

 

เพิ่งรู้ว่า Steven Spielberg ปลาบปลื้ม Robert Enrico ด้วย ส่วนตัวเรานั้น เคยดูมินิซีรีส์เรื่อง FOR THOSE I LOVED (1983, Robert Enrico, 6hrs) ที่เคยมาฉายทางช่อง 3 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ Holocaust มินิซีรีส์เรื่องนี้นำแสดงโดย Michael York, Macha Méril, Brigitte Fossey ซึ่งเราชอบมินิซีรีส์เรื่องนี้มาก ๆ แต่เราพลาดตอนจบ ซึ่งถ้าหากเราจำไม่ผิด มันเป็นเพราะว่าตอนนั้นเราตั้งเวลาอัดวิดีโอไว้ แต่วิดีโอเทปมันเนื้อที่เหลือไม่พอ เราก็เลยไม่ได้ดูช่วง 15 นาทีสุดท้ายของมินิซีรีส์เรื่องนี้ แล้วก็เลยเป็นสิ่งที่คาใจเรามานานราว 40 ปีแล้วว่า มินิซีรีส์เรื่องนี้มันจบยังไง ใครยังจำตอนจบของมินิซีรีส์เรื่องนี้ได้บ้างคะ

++++++++++

สรพงษ์ ชาตรี VS. Margaret Qualley

 

มังกรลายไทย THAI PRINT DRAGON (1984, Saenyakorn, 110min, A+15)

VS. THE SUBSTANCE (2024, Coralie Fargeat, A+30)

Edit เพิ่ม: หนังสองเรื่องนี้ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนะ นอกจากฉากตัวละครเอกแหกขา 55555

++++

 

เพิ่งฟังเทป “จุดหมายที่ปลายกระโปก!!” จบ ชอบมากที่พูดถึงผู้กำกับหนังวัยชรา ขำที่ spotify มัน transcribe ชื่อคนโดยอัตโนมัติเป็น “ลิลลี่ สก็อต” 55555

https://open.spotify.com/episode/0kZuwyQbcVAY73727P2KVo

++++++++++

TRILOGY OF THAILAND-LAOS RELATIONSHIP

 

1. LOVE IS FOREVER (1983, Hall Bartlett, 96min)

2. BYE BYE THAILAND (1987, Surasee Patham, A+30)  

3. “ร่มเกล้า 1428” (2014, Autthavisit Hatsadinthon Na Ayutthaya อรรถวิศิษฐ์ หัสดินทร ณ อยุธยา, 42min, A+20)

 

ดู BYE BYE THAILAND (1987, Surasee Patham, A+30) ที่หอภาพยนตร์ ศาลายา แล้วชอบสุดขีดมาก ๆ ยกให้เป็น ONE OF MY MOST FAVORITE THAI FEATURE FILMS OF ALL TIME เลย ถือเป็นเพชรเม็ดงามของวงการหนังไทยจริง ๆ

 

ขอบันทึกความทรงจำไว้เล็กน้อยว่า หนังเรื่อง BYE BYE THAILAND นี้ทำให้เรานึกถึงอะไรอีกสองอย่างโดยที่หนังไม่ได้ตั้งใจด้วย

 

1. เหมือนเราได้ยินมาว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้ออกฉายในปี 1987 เพราะกลัวกระทบความสัมพันธ์ไทย-ลาว เราก็เลยย้อนนึกถึงอดีตว่า ตอนนั้นความสัมพันธ์ไทย-ลาวเป็นอย่างไร แล้วเราก็จำได้ว่า เออ ใช่ ตอนนั้นไทยกับลาวมันทำสงครามกัน ซึ่งก็คือสงครามร่มเกล้าในปี 1987-1988 ที่มีทหารไทยเสียชีวิต 147 คน และเหตุการณ์นี้ได้ถูกดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์ในเวลาต่อมา ซึ่งก็คือภาพยนตร์เรื่อง “ร่มเกล้า 1428” (2014, Autthavisit Hatsadinthon Na Ayutthaya อรรถวิศิษฐ์ หัสดินทร ณ อยุธยา, 42min, A+20)

 

เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่ง BYE BYE THAILAND ก็เลยเหมือนเป็น prequel ของ “ร่มเกล้า 1428” เพราะร่มเกล้า 1428 นำเสนอสงครามระหว่างไทยกับลาวที่เกิดขึ้นในปี 1987-1988 ส่วนเหตุการณ์สมมุติใน BYE BYE THAILAND น่าจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

 

2. BYE BYE THAILAND แสดงให้เห็นว่า มีคนลาวจำนวนมากที่ข้ามแม่น้ำจากประเทศลาวเพื่อมาลี้ภัยในประเทศไทยในยุคนั้น เราก็เลยนึกถึงเรื่องราวของ Ananda Everingham มาก ๆ เพราะพ่อของเขาซึ่งเป็นหนุ่มออสเตรเลีย กับแม่ของเขาซี่งเป็นสาวลาว ก็ลี้ภัยจากลาวด้วยการข้ามแม่น้ำโขงอย่างยากลำบาก และอย่างเสี่ยงชีวิตมาก ๆ เข้ามาในประเทศไทยเช่นกัน โดยหลังจากข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาในไทยได้แล้ว แม่ของอนันดาก็ถูกจับส่งเข้าศูนย์อพยพหนองคาย และเรื่องราวความรักระหว่างพ่อกับแม่ของอนันดา ก็ถูกนำไปสร้างเป็นหนังเรื่อง LOVE IS FOREVER (1983, Hall Bartlett, 96min) ในเวลาต่อมา

 

อ่านเรื่องราวการลี้ภัยของพ่อแม่อนันดาได้อย่างละเอียดในเว็บไซท์ THE CLOUD ตามลิงค์ข้างล่างนี้

https://readthecloud.co/keosiri-everingham/

 

เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่ง เราก็เลยคิดว่า LOVE IS FOREVER ก็เหมือนเป็น prequel ของ BYE BYE THAILAND

 

พอเราได้ดู BYE BYE THAILAND เราก็เลยคิดว่า หนัง 3 เรื่องนี้เหมาะนำมาฉายรวมกันเป็น TRILOGY มาก ๆ เพื่อสะท้อนความสัมพันธ์ไทย-ลาวในยุคนั้น หรือถ้าหากจะฉายเป็น TETRALOGY ก็รวม “ผมไม่อยากเป็นพันโท” (1975, Chatrichaloem Yukol, A+30) เข้ามาอีกเรื่องหนึ่ง 55555

 

Edit เพิ่ม: เรายังไม่เคยดู LOVE IS FOREVER นะ แต่อยากดูมาก ๆ

 

 

Wednesday, January 15, 2025

SIGHT AND SOUND LIST OF 2024

 

จันทร์เพ็ญวูลฟ์มูนมีอำนาจเวทมนตร์ในการ ป้องกันสิ่งชั่วร้าย พลังลบ ศาสตร์มืด

 

กิจกรรมประจำจันทร์เพ็ญวูลฟ์มูน
การสร้างวงเวทย์พิทักษ์ สำหรับป้องกันตัวคุณ


จากเพจ
WITCHES THAILAND
https://web.facebook.com/witchesthailandcommunity

++++++++++

บ๊าย บาย ไทยแลนด์ รอบ 13.00 น. วันพุธที่ 15 ม.ค. คนดูเยอะมาก ๆ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด คนดูแห่แหนมาจากไหนกันเยอะแยะคะ

++++++

 

TOP 50 FILMS OF 2024 BY SIGHT AND SOUND MAGAZINE

 

ดูได้ที่ลิงค์นี้

https://www.bfi.org.uk/sight-and-sound/polls/50-best-films-2024

 

เราเคยดูเพียงแค่ 24 เรื่อง จาก 50 เรื่อง ซึ่งเรื่องที่เราได้ดู ได้แก่

 

(อันนี้ไม่ได้เรียงตามอันดับใน SIGHT AND SOUND นะคะ)

 

1.April

Dea Kulumbegashvili, France, Italy, Georgia

 

2. Black Dog

Guan Hu, China

 

3. Dune: Part Two

Denis Villeneuve, US, Canada, UAE, Hungary, Italy, New Zealand, Jordan, Gambia

 

4. The Holdovers

Alexander Payne, US

 

5. By the Stream

Hong Sangsoo, South Korea

 

6. Misericordia

Alain Guiraudie, France, Spain, Portugal

 

7. The Taste of Things

Tran Anh Hung, France, Belgium

 

8. Civil War

Alex Garland, US, UK, Finland

 

9. Furiosa: A Mad Max Saga

George Miller, Australia, US

 

10. Soundtrack to a Coup d’Etat

Johan Grimonprez, Belgium, France, Netherlands

 

11. Universal Language

Matthew Rankin, Canada

 

12. Megalopolis

Francis Ford Coppola, US

 

13. Perfect Days

Wim Wenders, Japan, Germany

 

14. Janet Planet

Annie Baker, US, UK

 

15. The Zone of Interest

Jonathan Glazer, UK, Poland, US

 

16. Challengers

Luca Guadagnino, US, Italy

 

17. Evil Does Not Exist

Ryûsuke Hamaguchi, Japan

 

18. I Saw the TV Glow

Jane Schoenbrun, US, UK

 

19. Love Lies Bleeding

Rose Glass, UK, US

 

20. The Substance

Coralie Fargeat, UK, France, US

 

21. Dahomey

Mati Diop, France, Senegal, Benin, UK

 

22. La chimera

Alice Rohrwacher, Italy, France, Switzerland, Turkey

 

23. Anora

Sean Baker, US

 

24. All We Imagine as Light

Payal Kapadia, France, India, Netherlands, Luxembourg, US, Italy, Switzerland

 

ทำไมฉันชอบอ่านชื่อ Payal Kapadia ว่า PAYPAL KAPADIA 55555

Monday, January 13, 2025

TWO TEMPLES IN ONE DAY

 

นึกถึงหนังเรื่อง FATEH (2025, Sonu Sood, India, A+10) เลย เพราะหนังเรื่องนี้ก็พูดถึงแอปพลิเคชันด้านสินเชื่อที่จ้องจะโกงเงินลูกค้าเหมือนกัน

++++++++++

PASSION OF MIND นี่เหมาะฉายควบกับ SHATTERED IMAGE (1998, Raul Ruiz) มาก ๆ

+++++++++++

เพิ่มรายชื่อหนังที่มีเนื้อหาบางจุดใกล้เคียงกัน แล้วออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกันโดยบังเอิญ

 

77. GHOST CAT ANZU (2024, Yoko Kuno, Nobuhiro Yamashita, Japan, animation, A+25)

+ BEETLEJUICE BEETLEJUICE (2024, Tim Burton, A+25)

 

รู้สึกว่า ช่วงที่ตัวละครในหนังทั้งสองเรื่องนี้ “ท่องปรโลก” มีอะไรบางอย่างคล้ายกัน หรือเหมาะจะนำมาเทียบเคียงกันอย่างรุนแรงมาก

 

จริง ๆ แล้วเราชอบ GHOST CAT ANZU มาก ๆ นะ แต่เรารู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมกับตัวละคร “ภูตยาจก” เราก็เลยไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ถึงขั้น A+30

++++++

 

FAVORITE SCENE IN THAI HORROR FILMS: ฉากใน “เมืองในหมอก” (1978, Permpol Choei-aroon) ซึ่งเป็นฉากที่นางเอก (เบญจวรรณ บุญญกาศ) ซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ไล่ฆ่าสาวสวิงกิ้งที่ชอบมั่วเซ็กส์ (ปาริชาติ บริสุทธิ์)

+++++++++++

วันนี้เราตั้งใจจะไปเดิน BAB หรือเดินดูงาน video installation ใน Bangkok Art Biennale ที่วัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร กับที่วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์)  ปรากฏว่า พอเราไปถึงวัดประยูร เราก็พบว่าวันนี้มีการจัดงานสมโภชพระอาราม 197 ปี พอดี มีการออกร้านมากมาย และมีชิงช้าสวรรค์ด้วย เราก็เลยถือโอกาสนั่งชิงช้าสวรรค์ซะเลย ซึ่งถือเป็นการนั่งชิงช้าสวรรค์ครั้งแรกในรอบ 25 ปี เพราะเรานั่งชิงช้าสวรรค์ครั้งสุดท้ายในงานวัดที่หัวหินในช่วงปลายปี 1999 ซึ่งเป็นช่วงที่เราแอบชอบหนุ่มสวีเดนคนหนึ่งที่เรากับเพื่อน ๆ ได้เจอที่หัวหิน และเรากับเพื่อน ๆ ก็เลยลากหนุ่มสวีเดนคนนั้นไปนั่งชิงช้าสวรรค์ในงานวัดที่หัวหินด้วย 55555 การนั่งชิงช้าสวรรค์ในวันนี้ก็เลยเหมือนเป็นการรำลึกถึงอดีตเมื่อ 25 ปีก่อน

 

หลังจากดูงาน video installation + นั่งชิงช้าสวรรค์ที่วัดประยูรเสร็จแล้ว เราก็เดินทางไปวัดโพธิ์ เพื่อดูงาน LÀ IN THE TRAPEZIUMS (2024, Nakrob Moonmanas, video installation, around 30 min, A+30) และเราก็พบว่าที่วัดโพธิ์มีการจัดงาน “พระราชพิธีสมมงคล” พอดี มีการออกร้านมากมาย และเราก็พบว่า ที่ถนนเชตุพนข้างหลังวัดโพธิ์ มีร้านขายอาหาร + ของที่ระลึกมากมายด้วย มีนักท่องเที่ยวหนุ่มหล่อเดินผ่านไปผ่านมา เราอยากนั่งสังเกตการณ์ดูนักท่องเที่ยวหนุ่มหล่อเหล่านี้ เราก็เลยนั่งกินขนมจากร้าน “แม่กุหลาบสากเหล็ก” ตรงโต๊ะอาหารในถนนเชตุพนไปเรื่อย ๆ แต่จุดประสงค์จริงๆ คือนั่งดูนักท่องเที่ยวหนุ่ม ๆ

 

เราอยู่ที่ถนนเชตุพนราว ๆ 18.00-18.35 น. บรรยากาศดีที่สุด อุณหภูมิราว 26 องศาเซลเซียส มีลมรำเพยแผ่วพลิ้ว สยิวใบหญ้า เย็น ๆ พัดไปมา ฮือออออออออออ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเจออะไรดี ๆ แบบนี้ คือเราแค่กะไปดูงาน video installation สองชิ้นที่วัดประยูรกับวัดโพธิ์ ปรากฏว่าทั้งสองวัดมีการจัดงานพิเศษในวันนี้พอดีด้วย เราก็เลยได้เที่ยวงานวัดของวัดประยูร กับงาน “พระราชพิธีสมมงคล” ไปด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ถ่ายรูปไว้เยอะมาก แต่เดี๋ยวค่อยลงทั้งหมดในวันหลัง วันนี้ขอลงแค่ส่วนหนึ่งก่อน

Sunday, January 12, 2025

THAI OCCULT CINEMATIC UNIVERSE

 

มี DARNA ภาคนึงที่มาฉายที่ CENTURY ตรงอนุสาวรีย์ชัยด้วย แต่เสียดายที่พอเกิดโควิดในปี 2020 กลุ่มคนฟิลิปปินส์ในไทยก็เลิกนำเข้าหนังฟิลิปปินส์ไปเลย เสียดายมาก ๆ อยากให้พวกเขาฉายหนังฟิลิปปินส์บ่อย ๆ เหมือนเดิมอีก

Edit เพิ่ม: เช็คดูแล้ว หนังที่เข้ามาฉายมันคือหนังเรื่อง THE REVENGER SQUAD (2017, Joyce Bernal, Philippines) ที่ให้อารมณ์เหมือนคลิปละคร DARNA ตามยูทูบมาก ๆ

++++

ซื้อหนังสือนิทานประกอบภาพเรื่อง “วาฬผีเสื้อ” ของ manasawii มาให้ลูกหมีเป็นของขวัญวันเด็ก

+++

เนื่องจาก “พนอ” กำลังจะเข้าฉาย เราก็เลยอยากบันทึกถึงจินตนาการของเราที่ว่า อยากให้มีคนทำโครงการ THAI OCCULT CINEMATIC UNIVERSE มาก ๆ แบบ MARVEL UNIVERSE หรือแบบ SADAKO VS. KAYAKO (2016, Koji Shiraishi) โดยอย่างน้อยก็เอาตัวละคร 7 ตัวนี้มาปะทะกันอย่างรุนแรงในหนังเรื่องเดียวกัน

 

1. มิ้งจาก “ร่างทรง”

2. ผีชุดดำ จากหนังชุด “ธี่หยด”

3. ราตรี เขมารักษ์ (เพ็ญพักตร์ ศิริกุล) จาก “บ้านเช่า บูชายัญ” (HOME FOR RENT) (2023, Sophon Sakdaphisit)

4. พนอ จากหนังชุด “ลองของ”

5. หม่อมสลักจิต (อัญชลี สายสุนทร) จาก หม่อม (THE ELITE OF DEVILS)

6. ไซหนับ (สีดา พัวพิมล) จาก “แดนสาป”

7. ตัวละครของคุณดวงใจ หิรัญศรี ใน “ไรเดอร์”

 

อยากเห็นคุณสีดา พัวพิมล, เพ็ญพักตร์ ศิริกุล, อัญชลี สายสุนทร และดวงใจ หิรัญศรี ฟาดฟัน เชือดเฉือนบทบาทกันอย่างรุนแรงมาก ๆ

 

สรุปว่า ตอนจบภาคแรก ชไมพร จตุรภุช จาก “ทายาทอสูร” กลายเป็นผู้ชนะ 55555

 

ใครมีไอเดียอะไรแนว ๆ นี้ ก็ comment มาได้นะคะ

Saturday, January 11, 2025

A TRAVELER'S NEEDS

 

หนึ่งในสิ่งที่เราฮามากใน A TRAVELER’S NEEDS (2024, Hong Sang-soo, South Korea, A+30) ก็คือการที่แม่ของพระเอก (หนุ่มเกาหลีที่ให้ที่พักแก่นางเอก) บอกกับพระเอกในทำนองที่ว่า อย่าไปไว้วางใจอีนางเอก (Isabelle Huppert) มันเป็นใครก็ไม่รู้ เราไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนของมัน หรืออะไรทำนองนี้

 

ซึ่งเราก็สองจิตสองใจกับคำพูดของแม่พระเอก เพราะในใจนึงเราก็แอบเชียร์อย่างรุนแรงให้พระเอกกับนางเอกได้กัน กลายเป็นคู่รักกัน คือจริง ๆ แล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองน่าจะเป็นแบบเพื่อน หรือเป็น platonic relationship แต่เราก็รู้สึกว่า จริง ๆ แล้วตัวละครนางเอกแอบอยากได้พระเอก แต่ไม่แสดงออกมาชัด ๆ เพราะเธอพยายามถามพระเอกซ้ำ ๆ ว่า พระเอกคิดอย่างไรกับเธอกันแน่ 55555 เพราะฉะนั้นในแง่นึงเราก็มองว่า แม่ของพระเอก เป็นเหมือน มารที่จะมาขัดขวางไม่ให้นางเอกได้เอาลูกชายของเธอเป็นผัว

 

แต่ในอีกแง่นึง เราก็มองว่า แม่ของพระเอกก็มีเหตุผล เราจะไปไว้วางใจผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกัน เธออาจจะเป็นฆาตกรโรคจิตที่เคยฆ่าคนมาแล้วหลายคน หรือเป็นสาวโรคจิต หรือมีความเป็นบ้าซ่อนอยู่ในตัวก็ได้ หรืออาจจะประกอบอาชีพเป็นนักทำแท้งก็ได้ (ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องผิด แล้วแต่ความเห็นของแต่ละคน) ผู้หญิงคนนี้อาจจะเคยทำอะไรต่าง ๆ มาแล้วแบบตัวละครในหนังเหล่านี้ก็ได้ ก่อนที่จะย้ายมาอาศัยอยู่กับลูกชายของเธอในเกาหลีใต้ 55555 ก็ลองดูเอาเองก็แล้วกัน ว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเคยทำอะไรมาแล้วบ้างก่อนย้ายมาเกาหลีใต้

 

GRETA (2018, Neil Jordan)

ELLE (2016, Paul Verhoeven)

THE PIANO TEACHER (2001, Michael Haneke)

MERCI POUR LE CHOCOLAT (2000, Claude Chabrol)

LA CEREMONIE (1995, Claude Chabrol)

STORY OF WOMEN (1988, Claude Chabrol)

VIOLETTE NOZIERE (1978, Claude Chabrol)

+++++

 

เพิ่งเห็นว่า ในนิตยสาร ARTFORUM ฉบับเดือนธ.ค. 2024 Andrea Lissoni ได้เขียนถึง TOP TEN งานศิลปะสุดโปรดของเขาประจำปี 2024 โดยยกให้ SOLARIUM กับ BLUE ENCORE ของ Apichatpong Weerasethakul ติดอันดับ 1 ประจำปี 2024

 

ส่วน Hung Duong ยกให้นิทรรศการ MATRILINEAL ของ Jakkai Siributr ติดอันดับ 2 ของเขาประจำปี 2024 และยกให้นิทรรศการ A NEW CAVE ของ Tanatchai Bandasak ติดอันดับ 3 ของเขาประจำปี 2024 กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 

พูดถึง Tanatchai Bandasak เราก็ขอแปะเพิ่มเติมว่า จนป่านนี้เรายังหาภาพยนตร์เรื่อง “เรื่องถ่ายเอกสาร” (2005, Tanatchai Bandasak) กับภาพยนตร์เรื่อง SECURITY CHANNEL (2005, Tanatchai Bandasak) ของเขามาดูไม่ได้เลย จนเวลาผ่านมาจะครบ 20 ปีแล้ว ภาพยนตร์สองเรื่องนี้กลายเป็นของหายากสุดขีดไปแล้ว ใครได้ดูหนังสองเรื่องนี้แล้วบ้างคะ

 

“เรื่องถ่ายเอกสาร” เคยฉายในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนปี 2005 ส่วน SECURITY CHANNEL เคยฉายในเทศกาลภาพยนตร์ทดลองกรุงเทพครั้งที่ 4 ในปี 2005

+++++++

เนื่องในวันเด็ก ก็เลยขอแปะ ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS ABOUT CHILDREN AND PARENTS ซะหน่อย  ซึ่งก็คือเรื่อง “แม่จ๋ากอดหนูหน่อย” (2004, Nathaporn Chotsurakulya) ที่เราเคยดูในปี 2005 หรือเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว เป็นหนังที่บอกได้เลยว่า “เหี้ยจริง ๆ” (คำชม) คือเราน่าจะได้เคยดูหนังเรื่องนี้แค่รอบเดืยวเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่กาลเวลาที่ผ่านมานาน 20 ปี ก็ไม่สามารถทำให้เราลืมเลือน ”ความเหี้ยในทางที่ดี” ของหนังเรื่องนี้ได้ลง

+++++

จริง ๆ แล้วเราแอบสงสัยว่า "จังหวะ" ของหนังเรื่อง SOUNDTRACK TO A COUP D’ETAT  มันต้องการล้อไปกับ "ดนตรี jazz" ด้วยหรือเปล่า แต่เสียดายที่เราไม่มีความรู้เรื่องดนตรี เราเลยวิเคราะห์จุดนี้ไม่ได้

LOOK BACK (2024, Kiyotaka Oshiyama, Japan, animation, 58min, A+30)

 

วิธีการปัดแก้มที่ถูกต้อง ถ้าหากคุณปัดแก้มไม่ดี คนจะนึกว่าคุณเพิ่งถูกไม้หน้าสามฟาดหน้ามา

 

จากรายการโทรทัศน์ FASH SHOW ที่เคยแพร่ภาพทางช่อง 3 ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ดำเนินรายการโดยคุณริสา หงส์หิรัญ และคุณตุ้ม

https://web.facebook.com/jit.phokaew/videos/3021436034670545

 

+++


รัก Nakano Taiga (MY MAN, SWEET BEAN, HARMONIUM) มาก ๆ เราว่าเขาไม่ได้หล่อมาก แต่อยากได้เขา

 

ฉันรักเขา Taiga Nakano from EYES IN LOVE (HITOMI HORE) – Vaundy (2022, music video)

 

เราเข้าใจว่า Taiga Nakano มักจะรับบท “พระรอง” เป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็หลงรักเขามากกว่าพระเอกเสียอีกในบางครั้ง  ใครมี “พระรอง” ที่น่ากินของญี่ปุ่นคนอื่น ๆ แนะนำอีกบ้าง  เสียดายที่เราไม่ได้ตามดู “ละครโทรทัศน์” เพราะเราว่าละครโทรทัศน์น่าจะมีตัวละคร “พระรองที่น่ากิน” เยอะกว่าใน “ภาพยนตร์”  

 

“พระรอง” อีกคนที่เราชอบสุดขีดก็คือ Oshiro Maeda (WHAT SHE LIKES, MY HAPPY MARRIAGE, TEASING MASTER TAKAGI-SAN MOVIE)

 

เห็นคุณ Kanin Nitiwong แนะนำ Eita Nagayama (MONSTER, AZUMI, 9 SOULS, MEMORIES OF MATSUKO, DORORO) ซึ่งเราก็ชอบเขามาก ๆ เช่นกัน

 

ดู MV ได้ที่

https://www.youtube.com/watch?v=XEEXE8Ei5SA

+++++++

A QUIET PLACE: DAY ONE (2024, Michael Sarnoski, A+25)

 

ห้ามอ่านขณะกินข้าว

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

ดูมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. 2024 แต่จะขอจดบันทึกความทรงจำเพิ่มเติมไว้อีกเล็กน้อยว่า ระหว่างที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราจะจินตนาการว่า ถ้าหากมันเป็นหนังไทย มันจะต้องมีฉากดังต่อไปนี้

 

1. ตัวละครตดดังปู้ด แล้วเลยโดนเอเลี่ยนฆ่าตาย

 

2. ตัวละครนั่งชักโครก แล้วมีเสียงอุจจาระกระทบน้ำดัง “ตุ๋ม” แล้วตัวละครก็เลยโดนเอเลี่ยนฆ่าตาย

 

3. ตัวละครกดชักโครก เกิดเสียง แล้วเลยโดนเอเลี่ยนฆ่าตาย

 

คือระหว่างที่เรานั่งดูหนังเรื่องนี้ เราจะจินตนาการตลอดเวลาว่า ถ้าหากเราหลุดเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในหนังชุดนี้ เราจะผายลมและเราจะอุจจาระอย่างไร โดยที่ไม่โดนเอเลี่ยนฆ่าตายน่ะ เพราะใช้ชักโครกก็คงไม่ได้แล้ว มันต้องเกิดเสียงดัง แต่ถ้าไปอาศัยอยู่แถว ๆ ลำธารหรือแม่น้ำ อาจจะปลอดภัยก็ได้ เพราะสามารถไปทำอะไรใต้น้ำได้แทน 55555 ใครมีวิธีเอาตัวรอดอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ก็บอกมาได้นะคะ

+++++++

 

LOOK BACK (2024, Kiyotaka Oshiyama, Japan, animation, 58min, A+30)

 

ดูมานานแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 2024 เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ขอบรรยายถึงความดีงามของเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็แล้วกัน เพราะมันก็ดีงามตามที่เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนเคยเขียนถึงไปแล้ว เราจะแค่จดบันทึกสั้นๆ ถึงประเด็น 2 ประเด็นที่กระทบจิตใจเราอย่างรุนแรงมากเป็นพิเศษจากหนังเรื่องนี้

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

1. ประเด็นแรกคือ ตอนที่เราเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นพอดูจบ เราก็จะแอบรู้สึกว่า ทำไมเนื้อเรื่องมันโหดร้ายจัง อยู่ดี ๆ ตัวละครก็ตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิต ซึ่งก็ถือเป็นอะไรที่ surprise มากสำหรับเรา เพราะปกติแล้ว หนังฆาตกรโรคจิต มันมักจะเป็นหนัง horror ที่คนดูรู้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่า ตัวละครเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ปะทะกับฆาตกรโรคจิต แต่หนังเรื่องนี้ เป็นหนังชีวิต ตัวละครมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของพวกเขาเอง ก่อนที่จะเจอกับฆาตกรโรคจิต เราก็เลยชอบและเซอร์ไพรส์มากกับฟังก์ชั่นการใช้ฆาตกรโรคจิตในหนังเรื่องนี้

 

แต่พอดูจบแล้ว เราก็ได้อ่านจากเพื่อน ๆ ใน FACEBOOK ว่า หนังเรื่องนี้มันได้รับแรงบันดาลใจมาจากคดีจริงที่ฆาตกรโรคจิตฆ่าคนตายไป 36 คนในการวางเพลิงสตูดิโอ Kyoto Animation ในวันที่ 18 ก.ค. 2019 เราก็เลยช็อคไปเลย และเปลี่ยนความคิดจากหลังตีนเป็นหน้ามือในทันที คือตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้จบใหม่ ๆ นั้น เราเคยแอบสงสัยว่า “เนื้อเรื่องของ LOOK BACK มันโหดร้ายเกินความจำเป็นไปไหม” แต่พอเราได้รับรู้ว่า ในเหตุการณ์จริงนั้น ฆาตกรโรคจิตฆ่าคนตายไป 36 คน แต่ใน LOOK BACK นั้น ฆาตกรโรคจิตเหมือนฆ่าคนตายไปเพียงแค่ไม่กี่คน เราก็เลยต้องตั้งคำถามใหม่ว่า “เนื้อเรื่องของ LOOK BACK มันเบาเกินความเป็นจริงไปไหม”

 

ก็เลยรู้สึกว่า LOOK BACK นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของประโยคที่ว่า “เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย” จริง ๆ เพราะคดีจริง ๆ นั้นมันรุนแรงกว่าตัว fiction อย่าง LOOK BACK หลายเท่ามาก ๆ

 

2. สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้จาก LOOK BACK เป็นสิ่งที่หนังอาจไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดถึง นั่นก็คือพอดูหนังเรื่องนี้จบ เราก็นึกถึงความจริงของชีวิตที่ว่า ชีวิตมักจะไม่เปิดโอกาสให้คนหลาย ๆ คนได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ หรือไม่เปิดโอกาสให้คนหลาย ๆ คนได้ปลดปล่อยศักยภาพที่ตนเองมีอยู่อย่างเต็มที่

 

คือตัวละคร Kyomoto ในเรื่อง เหมือนเป็นคนที่เก่งหลายอย่างน่ะ เธอน่าจะทำงานได้ดีทั้งในฐานะที่เป็น background illustrator, manga artist และ artist แบบ painter ก็ได้ แต่ “ชะตาชีวิต” หรือ “ปัจจัยหลาย ๆ อย่างในชีวิต” ก็เปิดโอกาสให้เธอได้ฉายแสงเพียงแค่ในฐานะ background illustrator เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็มีศักยภาพที่จะเป็น manga artist ได้ด้วยตัวเอง และเป็น painter ที่ดีได้ด้วย แต่ “ชีวิต” ก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปลดปล่อยศักยภาพเหล่านั้นออกมา

 

ซึ่งประเด็นนี้มันสะท้านสะเทือนใจเราอย่างรุนแรงมาก ๆ เพราะเรารู้สึกว่ามันจริงมาก ๆ และเราก็เห็นชีวิตคนหลายคนเป็นแบบนี้ ซึ่งรวมถึงเพื่อน ๆ หลายคนใน facebook ด้วย เพื่อนบางคนจบวิศวกรขั้นสูงจากต่างประเทศ แต่ก็เลือกที่จะทำงานเป็นล่าม/นักแปลนิยาย แทนที่จะทำงานเป็นวิศวกร (ซึ่งเราก็ยินดีกับเขา เพราะเรารู้ว่า เขาคงเลือกเส้นทางชีวิตที่ทำให้เขามีความสุขมากที่สุด), เพื่อนบางคนมีความสามารถที่จะเป็น fashion designer แต่ก็จำเป็นต้องทำงานด้านฟิสิกส์ และไม่ได้พัฒนาความสามารถในการเป็น fashion designer ต่อ, etc. เหมือนเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนมี potential ที่จะเป็นอะไรได้มากกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้ปลดปล่อย potential นั้นออกมา ซึ่งบางคนก็เลือกเอง เพราะเขารู้แล้วว่าเส้นทางไหนเป็นเส้นทางที่ตนเองรักมากที่สุด แต่หลาย ๆ คนก็ไม่ได้เลือกเส้นทางที่ตนเองรักมากที่สุด เพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่างในชีวิตบีบบังคับให้พวกเขาต้องเลือกประกอบอาชีพอื่น ๆ แทน

 

และสิ่งที่สำคัญก็คือว่า พอ LOOK BACK มันพูดถึง background illustrator ที่จริง ๆ แล้วน่าจะยืนหยัดเป็น manga artist ได้ด้วยตัวเอง เราก็เลยนึกถึงวงการภาพยนตร์มาก ๆ โดยเฉพาะวงการภาพยนตร์ไทย เพราะเรารู้สึกว่า จริง ๆ แล้วมี “คนที่มีศักยภาพที่จะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ดีและเก่งกาจ” จำนวนมากในวงการภาพยนตร์ไทย เพียงแต่ว่า คนเหล่านั้นทำงานในตำแหน่ง “ตัดต่อ”, cinematographer, ทำงาน post production ด้านต่างๆ, ทำงาน casting, ทำงานเขียนบท แต่ไม่ได้ทำตำแหน่งกำกับภาพยนตร์

 

คือในเมืองนอกเราก็อาจจะเห็นตัวอย่างเช่น

 

2.1 Sven Nykvist ตากล้องคู่บุญของ Ingmar Bergman แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเองเรื่อง THE OX (1991, Sweden, A+30) หนังก็ออกมาดีมาก ๆ

 

2.2 Walter Murch ที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาตัดต่อยอดเยี่ยมจาก JULIA, APOCALYPSE NOW, THE GODFATHER PART III, GHOST, THE ENGLISH PATIENT (ชนะออสการ์), COLD MOUNTAIN แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเรื่อง RETURN TO OZ (1985) หนังก็ออกมาน่าสนใจมาก ๆ (แต่เรายังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้นะ)

 

2.3 Tony Gilroy ที่เคยเขียนบทหนังอย่าง ARMAGEDDON, THE DEVIL’S ADVOCATE, etc. ก็กำกับหนังเรื่อง MICHAEL CLAYTON (2007) ออกมาได้ดีมาก

 

2.4 David Mamet ก็เหมือนมีอาชีพหลักเป็นคนเขียนบท (THE POSTMAN ALWAYS RINGS TWICE, THE VERDICT, THE UNTOUCHABLES) แต่หนังที่เขากำกับเอง อย่าง HOUSE OF GAMES (1987) ก็ดีงามมาก

 

2.5 Emmanuel Finkiel ก็เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับ Krzysztof Kieslowski แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเอง อย่าง VOYAGES (1999) และ MEMOIR OF WAR (2017) เราก็กราบตีนไปเลย

 

2.6 Claude Miller ก็เคยทำงานเป็น production manager ให้กับหนัง 6 เรื่องของ Francois Truffaut แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเอง อย่างเช่น THE GRILLING (GARDE A VUE) (1981), THE ACCOMPANIST, CLASS TRIP, OF WOMAN AND MAGIC และ ALIAS BETTY เราก็กราบตีนเขาเหมือนกัน

 

2.7 Pascal Bonitzer นี่ก็ทำงานเขียนบทภาพยนตร์ให้กับ Jacques Rivette, Chantal Akerman, Andre Techine, René Allio, Barbet Schroeder, etc. แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเอง อย่างเช่น NOTHING ABOUT ROBERT (1999) และ MADE IN PARIS (2006) เราก็กราบตีนเขาเหมือนกัน

 

2.8 Claire Denis ซึ่งโด่งดังเป็นพลุแตก กระจกแตก กระจายเกลื่อนในปัจจุบันนั้น ก็เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับ Wim Wenders, Dusan Makavejev, Eduardo de Gregorio, Costa-Gavras, Jim Jarmusch มาก่อน

 

คือในเมืองนอก เราก็จะเห็นตัวอย่างมากมายว่า มีหลาย ๆ คนที่ปกติแล้วไม่ได้ทำงานกำกับภาพยนตร์ แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้กำกับภาพยนตร์ ผลงานของเขาก็ออกมาดีงามมาก ๆ หรือหลาย ๆ คนที่โชคดี+ฝีมือดี ก็คือทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ, production manager, etc. แล้วก็ไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังได้ในที่สุด อย่างเช่น Claire Denis

 

ส่วนในไทยนั้น ถ้าหากใครติดตามวงการหนังสั้น เราก็จะพบว่า มีผู้กำกับหนังสั้นที่เก่งฉกาจมากมายหลายคน ที่ไม่ได้ “กำกับหนังยาวเป็นอาชีพหลัก” และถ้าหากเราดู ending credits ของหนังไทยขนาดยาวหลาย ๆ เรื่อง เราก็จะพบชื่อผู้กำกับหนังสั้นที่เก่งฉกาจเหล่านี้ ทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ อย่างเช่น คนตัดต่อ, cinematographer, คนเขียนบท, casting หรือทำงานในสตูดิโอ post production ต่าง ๆ

 

ซึ่งเราก็รู้สึกว่า บุคคลเหล่านี้ จริง ๆ แล้วเขามีความสามารถที่จะกำกับหนังยาวดี ๆ ได้เลยนะ และถ้าหากพวกเขาได้กำกับหนังยาว วงการหนังไทยมันจะเจิดจรัส โชติช่วงชัชวาลมาก ๆ เพียงแต่ว่าชีวิตคนเรา บางทีมันก็ไม่เปิดโอกาสให้หลาย ๆ คนได้ปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมาครบทุกด้าน หลาย ๆ ครั้งเราก็ทำได้เพียงแค่ทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ของเราต่อไปให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง ส่วนศักยภาพด้านอื่น ๆ ของเรา เราก็ทำได้แค่เก็บมันเอาไว้ก่อน เผื่ออนาคตอาจจะมีวันหนึ่งที่เราได้ปลดปล่อยมันออกมา

 

เพราะฉะนั้นพอเราดู LOOK BACK ในเดือนต.ค. เราก็เลยคิดถึงประเด็นนี้มาโดยตลอด โดยที่หนังเรื่อง LOOK BACK ไม่ได้ตั้งใจ และมันเป็นประเด็นที่สะท้านสะเทือนใจเราอย่างรุนแรงมากเป็นพิเศษ เพราะมันคือความจริงของชีวิต

 

 

 

 

Friday, January 10, 2025

THE SUBSTANCE (2024, Coralie Fargeat, A+30)

 

วิธีการใช้ลิปสติก

 

จากรายการโทรทัศน์ FASH SHOW ทางช่อง 3 ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ดำเนินรายการโดยคุณริสา หงห์หิรัญ และคุณตุ้ม

https://web.facebook.com/1333811571/videos/a.10236524308831080/1004232648193564

 

THE SUBSTANCE (2024, Coralie Fargeat, A+30)

 

ดูผ่านมานานหลายเดือนแล้ว แต่ขอบันทึกความทรงจำเพิ่มเติมว่า หนึ่งในสิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ ที่ค้างอยู่ในใจเราตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา คือ “ความสามารถในการเป็นช่างก่อสร้าง” ของนางเอกน่ะ เพราะคุณสมบัติข้อนี้ตรงกับคุณสมบัติของ “ตัวละครหญิงในโลกจินตนาการของเรา” 55555 เพราะเราไม่ได้ชอบหรืออินกับ “ผู้หญิงที่สวย sexy และมีความสามารถในการดึงดูดผู้ชาย”แต่อย่างใด แต่เราชอบตัวละครหญิงที่ “ก่อสร้างห้องลับด้วยตัวเองได้” โดยไม่ต้องพึ่งพาคนงานก่อสร้างใด ๆ ทั้งสิ้น

 

เพราะฉะนั้นฉากที่นางเอกใช้อุปกรณ์ช่างก่อสร้างต่าง ๆ เจาะผนัง ทำห้องลับ ทำประตูห้องลับด้วยตัวเองได้ ก็เลยเป็นสิ่งที่เราชื่นชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือเรารู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ผู้หญิงหลายคนก็ทำแบบนางเอกได้สบาย ๆ  แต่เราไม่ค่อยได้เห็นตัวละครนางเอกในหนังเรื่องอื่น ๆ ได้โชว์ความสามารถด้านการเป็น “ช่างก่อสร้าง” โดยไม่ต้องพึ่งพาคนงานก่อสร้างใด ๆ แบบนี้น่ะ

 

และในชีวิตจริงนั้น เราก็ทำแบบนางเอกไม่ได้เลย คือถ้าหากมีงานช่างใดๆ งานซ่อมแซมใด ๆ ภายในอพาร์ทเมนท์หรือในบ้าน เราก็ต้องขอให้คนงานมาช่วย หรือในบางครั้งเราก็ต้องขอให้พี่เขยของเรามาช่วย

 

เราก็เลยว้าวมากที่สุดกับฉากนี้ใน THE SUBSTANCE เพราะเราไม่ได้ประทับใจใด ๆ กับความสามารถของนางเอกในการยั่วผู้ชายหรือเต้นออกกำลังกายหรือโปรยเสน่ห์ แต่เราว้าวมาก ๆ กับความสามารถของนางเอกในการเป็น “ช่างก่อสร้าง” และรู้สึกว่าคุณสมบัติแบบนี้นี่แหละที่ตรงกับ “ตัวละครหญิงในโลกจินตนาการของเรา”

 

ชอบมากที่ผู้ชมบางคนตีความฉากนี้ว่า “I felt that this was a play at her (Elizabeth) being capable beyond her looks, but only uses it to hide her true self away

 

พอพูดถึงความสามารถในการเป็น “ช่างก่อสร้าง” ของนางเอก THE SUBSTANCE เราก็เลยจำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ เราเคยอ่านนิยายไทยเรื่องหนึ่งที่น่าจะแต่งขึ้นราว ๆ ทศวรรษ 1970 มั้ง ที่ตัวละครนางเอกเป็น “วิศวกร” ในยุคที่แทบไม่มีวิศวกรหญิงในไทยน่ะ เหมือนนางเอกเป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ของไทยในยุคนั้น แต่เราจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว จำชื่อคนแต่งก็ไม่ได้ จำได้แต่ว่า เราเช่านิยายเรื่องนี้มาอ่าน เพราะว่ากาญจนา จินดาวัฒน์เล่นเป็นนางเอกละครเรื่องนี้ทางช่อง 9 แต่พอเราไปดู filmography ของกาญจนา จินดาวัฒน์ เราก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่ามันคือเรื่องไหน ใครแต่ง และกาญจนา จินดาวัฒน์เล่นจริง ๆ หรือเปล่า หรือเราจำผิด

 

เพราะฉะนั้นถ้าหากใครรู้ว่ามันคือนิยายเรื่องไหนของไทยในทศวรรษ 1960-1970 ที่นางเอกเป็น “วิศวกร” ก็บอกเรามาได้นะ

 

Edit เพิ่ม: หาเจอแล้วจ้า มันคือนิยายเรื่อง "ช่องที่ไม่ว่าง" ของสีฟ้า ที่นางเอกเป็นวิศวกร แต่เราไม่แน่ใจว่า มันคือที่มาของละครเรื่อง "รักไม่มีช่องว่าง" (1983) ที่นำแสดงโดยกาญจนา จินดาวัฒน์หรือเปล่า