ADAM LEVINE – LOST STARS (UNOFFICIAL MUSIC VIDEO) (2015, Wissanu
Nobnorb, A+15)
ดูมิวสิควิดีโอนี้ได้ที่
1.ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในแง่ความเป็น “มิวสิควิดีโอ” นั้น งานชิ้นนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
เพราะเราไม่ค่อยได้ดูมิวสิควิดีโอน่ะ
เราไม่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญในด้านนี้เลย
ตอนดูรอบแรกเราจะรู้สึกว่ามันขาดความ “เปรี้ยง” แบบมิวสิควิดีโอนะ คือพอพูดถึงมิวสิควิดีโอ
เราจะนึกถึงอะไรที่มันมีจุดเด่นของมันเองมากๆน่ะ มีความเป็น spectacle, มีอะไรประหลาดๆ,
มีอะไรแรงๆ, มีอะไรเก๋ๆ, มีคอนเซปท์แปลกใหม่น่าสนใจ, มีการถ่ายภาพที่ดูงดงามมากๆ
เพื่อดึงดูดผู้ชมรุ่นเด็กและรุ่นหนุ่มสาวให้ติดตาติดใจได้ในทันที และเรารู้สึกว่างานชิ้นนี้มันขาดความ
“เปรี้ยง” แบบมิวสิควิดีโอน่ะ
2.แต่สำหรับเราแล้ว เราว่างานชิ้นนี้มันทำให้เราอยากดู “หลายรอบ” นะ
ซึ่งนั่นก็เป็นคุณสมบัติข้อนึงที่มิวสิควิดีโอที่ดีควรจะมี
และเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเราถึงอยากดูงานชิ้นนี้หลายรอบ
หรือจริงๆแล้วเป็นเพียงเพาะว่าเพลงมันเพราะ 555
เราว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราอยากดูงานชิ้นนี้หลายรอบ
เป็นเพราะว่าเราตามเนื้อเรื่องไม่ทันในการดูรอบแรกน่ะ
เราก็เลยต้องดูมันซ้ำหลายรอบเพื่อจะได้ตามเนื้อเรื่องให้ทัน
เราก็เลยชอบมิวสิควิดีโอนี้ถึงขั้น A+15
3.เราชอบมากที่ MV นี้เล่า conflict
สำคัญของเรื่อง
ซึ่งได้แก่ความลังเลใจของนางเอกว่าอยากแต่งงานกับพระเอกหรือเปล่า ผ่านทางการแสดงออกเล็กๆน้อยๆของนางเอกน่ะ
และเราว่าตัวคนที่เล่นเป็นนางเอกเล่นได้ดีมาก
และหนังก็ใช้ประโยชน์จากตัวนางเอกได้ดีมากด้วย
คือ MV นี้แสดงความลังเลใจของนางเอกผ่านทางสีหน้าท่าทางเพียงเล็กๆน้อยๆ
และอากัปกิริยาเพียงเล็กๆน้อยๆน่ะ เราก็เลยตามเนื้อเรื่องไม่ทันในการดูรอบแรก
พอมาดูรอบสอง รอบสาม เราถึงสังเกตว่า อ๋อ นางเอกทำสีหน้าแบบนี้ในฉากนี้ แล้วก็ทำสีหน้าแบบนี้ในฉากนี้
อ๋อ จริงๆแล้วฉากนี้มันคือการขอแต่งงานหรอกเหรอ
ตอนดูรอบแรกกูนึกว่าแค่กินกาแฟกันธรรมดาๆ และเราว่า MV นี้ทำได้ดีมากๆในแง่นี้
คือมันสามารถเล่าเรื่องด้วยภาพได้ในแบบที่ค่อนข้าง subtle น่ะ
มันก็เลยทำให้ MV นี้ดูมีอะไรน่าค้นหา
และสามารถดูซ้ำหลายรอบได้ และตัวนางเอกก็แสดงได้เก่งมากๆด้วย
โดยเฉพาะการแสดงอารมณ์ผ่านทางดวงตา
4.เราเดาว่าทั้ง MV ถ่ายทำในไทยหรือในกรุงเทพ แต่ตอนแรกที่เราดู
MV นี้เรานึกว่ามันเป็น found footage จากหนังฝรั่ง
คือเราว่าคนสร้าง MV เก่งมากๆที่สามารถสร้างบรรยากาศอะไรบางอย่างจนเรานึกว่ามันเป็นหนังฝรั่งไปได้
5.ปกติแล้ว MV ทั่วไปจะมีพลังทางจังหวะบางอย่างที่สอดรับกับจังหวะเพลงนะ
แต่เราว่า MV นี้ไม่ค่อยมีจุดนี้มากนัก
ยกเว้นในช่วงวิ่งขึ้นลงกระได แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อบกพร่องร้ายแรงอะไร คือพอพูดถึง
MV เรามักจะนึกถึงการส่งเสริมพลังซึ่งกันและกันระหว่าง “จังหวะภาพ”
กับ “จังหวะเพลง” น่ะ แต่เราว่า MV นี้ไม่ค่อยมีจุดนี้มากนัก
6.สรุปว่าในแง่ความเป็น MV แล้ว เราว่ามันขาด “ความเปรี้ยง”
กับ “การเล่นจังหวะภาพ+เสียง” นะ และก็ขาดความสวยเนี้ยบด้านภาพด้วย
แต่ความสวยเนี้ยบที่ขาดไปนี้อาจจะเกิดจาก “ทุนสร้าง” มากกว่า “ฝีมือ” ของทีมงาน
เราก็เลยคิดว่าจุดนี้ไม่ใช่ข้อบกพร่องของทีมงานนี้
คือถ้าทีมงานนี้ได้ทุนสร้างเท่ากับ MV จริงๆ ภาพ+ฉาก+art
direction มันก็คงจะออกมาสวยเนี้ยบกว่านี้มากๆแหละ
แต่ MV นี้มีจุดนึงที่ MV ดีๆทั่วไปมีกัน
นั่นก็คือมันทำให้เราอยากดูซ้ำหลายๆรอบ
และเราค่อนข้างมั่นใจว่าจริงๆแล้วทีมงานนี้มีฝีมือในการทำหนังรักแน่ๆ
คือในแง่ MV เราไม่แน่ใจว่าทีมงานนี้เก่งมากๆหรือเปล่า
หรือมีความสามารถในการสร้าง visual ที่ติดตาตรึงใจหรือเปล่า
แต่เราชอบการถ่ายทอดอารมณ์ละเอียดอ่อนของนางเอกผ่านทางการแสดงสีหน้าท่าทางเล็กๆน้อยๆ
และเราว่าการถ่ายภาพใน MV นี้มันสื่ออารมณ์แบบหนังรักได้ดีมากน่ะ
(คือเราว่างานด้านภาพใน MV นี้ มันไม่ใช่ spectacle แต่มันเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ละเอียดอ่อน) เราก็เลยคิดว่า MV นี้สะท้อนศักยภาพที่น่าสนใจบางอย่างในตัวทีมงานออกมา
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ศักยภาพในการทำ MV แต่เป็นศักยภาพในการสร้างภาพยนตร์
No comments:
Post a Comment