1971 (2014, Johanna Hamilton, documentary, A+15)
--เราว่าหนังเรื่องนี้สร้างความสนุกได้พอสมควรในระหว่างที่ดูนะ
คือเราว่ามันเล่าเหตุการณ์ได้ดีน่ะ ก็เลยสร้าง suspense หรือความลุ้นได้บ้างในระดับนึงในขณะที่ดู
คือถ้ามันเล่าไม่ดี มันจะกลายเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆได้
--ชอบความเป็นคนธรรมดาของคนในหนังเรื่องนี้นะ คือเราว่าคนในหนังเรื่องนี้มีทั้งลักษณะของความเป็นคนธรรมดาและ
activist อยู่ในตัวคนๆเดียวกัน
เราก็เลยรู้สึกเชื่อมโยงกับคนในหนังเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น
คือถ้าหากเราได้เห็นคนพวกนี้เฉพาะในช่วงทศวรรษ 1970
เราอาจจะไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับเขามากนัก เพราะเราไม่มีความเป็น activist อยู่ในตัวน่ะ แต่การที่เราได้เห็นคนเหล่านี้ในยุคปัจจุบัน เห็นว่าพวกเขาก็เป็นเหมือนชาวบ้านธรรมดาๆคนนึง
และเห็นว่าพวกเขาบางคนแทบไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลยหลังจากทศวรรษ 1970 มันก็เลยทำให้เราสนใจคนเหล่านี้ในแง่
“ความเป็นคนธรรมดา” ของพวกเขา
คือเราว่าหนังโดยทั่วไปจะเล่าเรื่องของคนที่ทำอะไรรุนแรงกว่านี้, active กว่านี้
หรือมีความพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไปมากกว่าคนกลุ่มนี้น่ะ พอหนังเรื่องนี้ไปเจาะที่กลุ่มคนที่เคยทำอะไรพิเศษเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต
และจริงๆแล้วเหตุการณ์ที่พวกเขาทำก็ไม่ได้โด่งดังมากนัก (เพราะเราไม่เคยได้ยินเหตุการณ์นี้มาก่อนเลย)
เราก็เลยชอบที่หนังให้ความสนใจกับ “กลุ่มคนที่ค่อนข้างจะธรรมดา” กลุ่มนี้
คือจริงๆแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดานะ แต่เพียงแค่ว่ามันดูธรรมดากว่า “พระเอกในหนังทั่วไป”
น่ะ
ถ้าเทียบง่ายๆก็คือว่า พอพูดถึงกลุ่มคนที่ active ในทศวรรษ
1960-1970 แล้ว เราจะนึกถึงตัวละครในหนังอย่าง THE COMPANY YOU KEEP (2012,
Robert Redford), THE STATE I AM IN (2000, Christian Petzold), REGULAR LOVERS
(2005, Philippe Garrel), MESSIDOR (1979, Alain Tanner), THE THIRD GENERATION
(1979, Rainer Werner Fassbinder) และ THE BAADER MEINHOF
COMPLEX (2008, Uli Edel) น่ะ
ซึ่งตัวละครเหล่านี้มันจะดูเจ็บปวดกว่า, ทุกข์ทรมานกว่า,
ได้รับบาดแผลจากการกระทำของตัวเองและจากสังคมมากกว่า, โรแมนติกกว่า, บ้าคลั่งกว่า
หรือกู่ไม่กลับมากกว่า “คนธรรมดา” ใน 1971
--มันก็เลยเหมือนกับว่า เหตุการณ์ในปี 1971 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่พวกเขาได้ฉายแสงของตัวเองอย่างเต็มที่น่ะ
ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาต่อไป
มันเหมือนกับนักร้องที่เคยมีเพลงขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทเพียงแค่เพลงเดียว
แล้วก็ค่อยๆ fade away ออกจากวงการ
หรือผู้กำกับหนังที่ทำหนังดังเพียงแค่เรื่องเดียว แล้วก็หันไปทำงานขายเฟอร์นิเจอร์
คือเราชอบแง่มุมนี้ของหนังน่ะ มันเหมือนเป็น
“ชะตาชีวิต” ของคนหลายๆคน คนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นคนดัง
มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่เป็นคนที่ได้ลุกขึ้นมา “เปล่งประกาย”
สักครั้งสองครั้งในชีวิต ได้มี “ความภาคภูมิใจเล็กๆ” เป็นของตัวเอง
ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่ชาวโลกอาจจะไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ กูภูมิใจในตัวกูเองก็พอแล้ว
เราก็เลยเชื่อมโยงกับหนังได้มากๆในแง่นี้
--เทียบง่ายๆก็คือว่า เราว่าคนเหล่านี้เหมือนเป็น “ลูกน้องพระเอก”
หรือเป็น “พระรอง” ในหนังทั่วไป มากกว่า “พระเอก” ในหนังทั่วไปน่ะ เราก็เลยชอบที่หนังให้ความสำคัญกับกลุ่มคนที่เราไม่เคยได้ยินชื่อหรือรับรู้มาก่อนกลุ่มนี้
--อีกจุดที่ชอบมาก คือการได้เห็นการคานอำนาจกันระหว่าง FBI,
ประชาชน, สื่อมวลชน, สมาชิกสภาคองเกรส และตุลาการน่ะ เราว่าการทำงานของระบบพวกนี้มันน่าสนใจมากๆ
และมันดีที่เหมือนไม่มีใครมีอำนาจสูงสุด เพราะแต่ละสถาบันมันทำงานตรวจสอบกันได้
ตบกันได้ คานอำนาจกันได้
--จุดนึงที่น่าสนใจมากๆก็คือการที่ FBI บางคนยอมรับในเอกสารว่า
พวกเขาทำร้าย activists ด้วยการปล่อยข่าวลือว่า เมียของ activist
คนนี้มีชู้ จนครอบครัวของ activists ต้องหย่าขาดจากกัน
คือมันเป็นการกระทำของ FBI ที่เหี้ยมากๆ และมันก็ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า
ข่าวลือต่างๆที่แพร่อยู่ในสังคมทุกวันนี้ มันก็เป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า
สังคมไทยทุกวันนี้ มีการแพร่ข่าวลือแบบนี้ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือเปล่า
ซึ่งเราว่ามี (เพราะฉะนั้นถ้าหากใครได้ยินข่าวว่าเราร่าน ก็อย่าได้เชื่อนะคะ
มันเป็นศัตรูทางการเมืองปล่อยข่าวลือมาค่ะ)
--หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจในจุดนี้นะ แต่เราว่าหนังมันสอดคล้องกับความเชื่อของเราที่ให้มองอะไรหลายๆอย่างเป็นสีเทาน่ะ
ทั้ง FBI
และสหรัฐ คือ FBI ในหนังเรื่องนี้อาจจะดูเลวร้าย
แต่หนังก็พูดถึงการที่ FBI ส่งคนไปเป็นสายลับใน KLU
KLUX KLAN ด้วย ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของเราแล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรกระทำ
(ควรดูหนังเรื่อง BETRAYED ของ Costa-Gavras ประกอบ)
และเราก็ชอบระบบการคานอำนาจกันของสถาบันต่างๆในสหรัฐในหนังเรื่องนี้
แต่เราไม่ได้มองว่าสหรัฐเป็นสีขาวหรือสีดำนะ เรามองว่ามันเป็นสีเทา มันมีทั้งส่วนที่น่าเอาอย่างและส่วนที่ไม่ควรเอาอย่าง
--ดู 1971 แล้ว ทำให้อยากหาหนังอีกหลายๆเรื่องมาดูประกอบ
เพราะเราว่ามันมีความเชื่อมโยงกันในแง่กลุ่มหัวรุนแรงในยุคนั้น อย่างเช่นเรื่อง
1.THE CAMDEN 28 (2007, Anthony Giacchino, documentary)
2.THE WEATHER UNDERGROUND (2002, Sam Green + Bill Siegel,
documentary)
3.PATTY HEARST (1988, Paul Schrader)
4.SOMETHING IN THE AIR (2012, Olivier Assayas)
5.THE SECOND TIME (1995, Mimmo Calopresti, Italy)
--สรุปว่าชอบ 1971 มากพอสมควร หนังอาจจะไม่มีอะไรมาก
แต่มันช่วยตอกย้ำกับเราได้ดีว่า คนธรรมดาทุกๆคนมี “พลังงานศักย์”
อะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในตัว
และสถานการณ์บางอย่างมันอาจจะส่งผลให้คนธรรมดาบางคนแปรเปลี่ยนพลังงานศักย์ในตัวให้กลายเป็น
“แสงสว่าง” ขึ้นมาได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ตาม
พอดูหนังเรื่องนี้แล้วเราก็คิดต่อไปว่า สถานการณ์ในสหรัฐในตอนนั้นมันไม่เลวร้ายมากนักด้วยแหละ
สื่อมวลชนมันยังทำงานของมันได้ สมาชิกสภาคองเกรสก็มาจากประชาชน ไม่ต้องสยบให้กับ FBI สถาบันตุลาการก็ไม่ต้องสยบให้กับ
FBI แล้วในที่สุดสหรัฐก็ต้องยอมแพ้ในสงครามเวียดนามไป
เพราะฉะนั้น ในเมื่อสถานการณ์ในสหรัฐในตอนนั้นมันไม่เลวร้ายมากนัก
บุคคลต่างๆในหนังเรื่องนี้
ก็เลยแปรเปลี่ยนพลังงานศักย์ของตนเองให้กลายเป็นแสงสว่างเพียงชั่วคราวเท่านั้น
แต่ถ้าหากเป็นในประเทศอื่นๆ สถานการณ์อื่นๆ ที่มันเลวร้ายกว่านี้มาก
มีรัฐบาลเผด็จการที่กดขี่มากๆ สื่อมวลชนรายงานความจริงไม่ได้
สมาชิกรัฐสภาไม่ได้มาจากประชาชน ตุลาการก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเผด็จการ หรือประชาชนบางกลุ่มถูกกดเป็นคนชั้นสองของประเทศ
เราว่าสถานการณ์แบบนี้มันคงไม่ได้กระตุ้นให้คนธรรมดาบางคนเปลี่ยนพลังงานศักย์ในตัวเองให้กลายเป็นแสงสว่าง
แต่มันอาจจะทำให้คนธรรมดาบางคนเปลี่ยนพลังงานศักย์ในตัวเองให้กลายเป็นพลังงานนิวเคลียร์ซะล่ะมากกว่า
คือยิ่งกดดันมากเท่าไหร่ พลังงานก็ยิ่งถูกแปรเปลี่ยนมากเท่านั้น
คือพอเราดู 1971 แล้วเราก็ตั้งคำถามว่า ถ้าหากกลุ่มคนใน 1971
ไปเกิดในปาเลสไตน์ แทนที่จะเกิดในสหรัฐ พวกเขาจะทำอย่างไร
พวกเขาจะกลายเป็นมือระเบิดพลีชีพเหมือนอย่างในหนังเรื่อง PARADISE NOW (2005, Hany
Abu-Assad) หรือเปล่า เราก็ไม่รู้เหมือนกัน
ดูรอบฉายหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่
No comments:
Post a Comment