Wednesday, May 20, 2015

LIFE PARTNERS (2014, Susanna Fogel, A+30)

LIFE PARTNERS (2014, Susanna Fogel, A+30)

--อันนี้คือหนึ่งในหนังแนวที่เราชอบมากที่สุด ซึ่งก็คือแนว Eric Rohmer มันคือหนังที่มีฉากตัวละครคุยกันอย่างออกรสออกชาติ โดยคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ และคุยกันทั้งเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ และเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ หนังที่สะท้อนความคิดเห็นของตัวละครต่างๆต่อสิ่งต่างๆในชีวิต และสะท้อนลักษณะนิสัยเล็กๆน้อยๆมากมายของมนุษย์

เราชอบที่หนังพวกนี้มันนำเสนอในสิ่งที่หนังส่วนใหญ่มองข้ามไปน่ะ และเราว่าสำหรับเราแล้ว moments ที่มีความสุขที่สุดในชีวิตคือ moments ตอนที่ได้นั่งคุยกับเพื่อนๆน่ะ โดยเฉพาะเพื่อนสนิทที่มีโลกจินตนาการร่วมกับเรา แต่ปรากฏว่าหนังส่วนใหญ่กลับไม่ได้นำเสนอ moments เหล่านี้ แต่ไปนำเสนอเรื่องราว drama รุนแรงในชีวิตมนุษย์แทน แทนที่จะเน้นนำเสนอการคุยกันของเพื่อนๆ

Eric Rohmer ชอบทำหนังแนวนี้ และหนังแนวนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังแนวที่เราชอบมากที่สุดในชีวิต น่าเสียดายที่ Eric Rohmer ตายไปแล้ว และเราก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูหนังแนวนี้อีกเท่าไหร่ เราไม่แน่ใจว่าหนังกลุ่ม mumblecore ของสหรัฐมีลักษณะแบบนี้หรือเปล่า แต่หนังกลุ่มนี้มักไม่ค่อยได้เข้ามาฉายในไทยน่ะ เราก็เลยไม่ค่อยได้ดู

นอกจาก LIFE PARTNERS จะทำให้นึกถึงหนังของ Eric Rohmer แล้ว มันยังทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง WHAT I LOVE THE MOST (2010, Delfina Castagnino, Argentina, A+30) ด้วย เพราะ WHAT I LOVE THE MOST ก็เป็นหนังแนว Rohmer เหมือนกัน และเป็นหนังเกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างหญิงสาวสองคนเหมือนกับ LIFE PARTNERS

สิ่งที่เราชอบมากใน LIFE PARTNERS ก็คือการสะท้อนอะไรหลายๆอย่างในชีวิตมนุษย์ผ่านทางบทสนทนาและเรื่องราวอย่างเป็นธรรมชาตินี่แหละ ทั้งเรื่องการแบ่งเวลาระหว่างผัวกับเพื่อน, การทำใจยอมรับว่าเพื่อนสนิทจะไม่มีเวลาให้เราเหมือนเดิมแล้ว เพราะเธอมีผัวแล้ว, การไม่ชอบขี้หน้าแฟนเพื่อน, การลังเลสงสัยว่าตัวเองมีสิทธิเอาแฟนเก่าเพื่อนมาเป็นแฟนใหม่ของเราได้ไหม, การพยายามเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการในชีวิตคนอื่นด้วยความหวังดี, การไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง, การ debate กันว่าเสื้อผ้าแบบนี้ใส่แล้ว “สมวัย” หรือเปล่า, ความสุขที่ได้นั่งดูรายการโทรทัศน์กับเพื่อนสนิทที่มี wavelength ตรงกัน และหัวเราะกับสิ่งเดียวกัน, การพบว่าเพื่อนใหม่ไม่หัวเราะในสิ่งที่เราหัวเราะ, ความสุขสุดยอดในชีวิตเมื่อได้เล่นเกมกับเพื่อนสนิท, การไม่ตั้งใจในการทำงาน, การจำใจต้องทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ เพื่อหาเงิน, การพบว่าสิ่งที่ตัวเองชอบมากๆในอดีต อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับตัวเองหรือเป็นความใฝ่ฝันที่แท้จริงของตัวเองอีกต่อไป, การรับเอานิสัยบางอย่างของพ่อแม่มาเป็นนิสัยของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ, การพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับแฟน, etc.

คือเราว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ธรรมชาติมากๆ และเป็นมนุษย์มากๆ แต่หนังทั่วๆไปเหมือนจะไม่สามารถสะท้อนประเด็นเหล่านี้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากเท่านี้ นอกจากในหนังของ Rohmer และ Rudolf Thome น่ะ เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆที่สามารถจับสังเกตสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตมนุษย์เหล่านี้แล้วสะท้อนมันออกมาในหนังได้

--หนึ่งในฉากที่เราชอบมากในหนังเรื่องนี้คือฉากที่เลสเบียนบ้างานตัดสินใจออกงานเลี้ยงไป หลังจากพบว่าเธอไม่เป็นที่ต้องการของ Sasha น่ะ เราชอบการที่ตัวละครตัวนี้ไม่ได้ดราม่าโวยวายใหญ่โตอะไร เหมือนเธอเป็นคนที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ พอเธอพบว่าเขาไม่ต้องการเธอ เธอก็กลับไปเลย เราชอบคนที่สามารถควบคุมอารมณ์และการกระทำของตนเองได้อย่างนี้ ทั้งๆที่สถานการณ์นี้จริงๆแล้วมัน hurt สำหรับเธอมากๆ

--ส่วนที่สะเทือนใจเรามากที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือส่วนที่สองสาวเหมือนกลัวๆอนาคต หรือลังเลสงสัยว่าอนาคตเมื่ออายุ 30 ปีแล้วจะเป็นยังไงน่ะ แล้วก็คิดย้อนกลับไปถึงความสุขเมื่อสมัยตัวเองยัง 20 ต้นๆอยู่ หรืออะไรทำนองนี้  แล้วเราก็ชอบตอนที่ Paige (Gillian Jacobs) กังวลว่าเมื่อ Sasha (Leighton Meester) อายุ 35 ปีแล้ว Sasha จะพบว่าตัวเองยังเป็นโสดและยังจนอยู่ ในขณะที่เพื่อนๆทุกคนมีลูกกันหมดแล้ว

คือส่วนนี้นี่มันเจ็บปวดมากๆ เพราะเราอายุ 42 ปีแล้ว ยังโสดและจนอยู่ ในขณะที่เพื่อนหลายคนร่ำรวยและมีลูกกันหมดแล้ว และเราก็มักจะย้อนคิดไปถึงความสุขในปี 1988-1995 อยู่เสมอ ความสุขตอนที่ได้ใช้เวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิท ก่อนที่ชีวิตทุกคนจะเริ่มมีภาระเข้ามา แล้วแยกกันไปคนละทิศคนละทาง

หนังเรื่องนี้มันก็เลยโดนเรามากๆ ทั้งในแง่ genre ของหนัง ซึ่งเป็นแนว Eric Rohmer และเนื้อหาของหนัง ซึ่งเหมือนเป็นการจับเอาหนึ่งในสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตเอาไว้ (ซึ่งก็คือการได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนสนิท) ก่อนที่ moments แบบนั้นจะค่อยๆจางหายไปจากชีวิตของเราอย่างไม่มีทางหวนกลับ เมื่อแต่ละคนแยกย้ายกันไปมีผัว


No comments: