Wednesday, May 06, 2015

MISS AND THE DOCTORS (2013, Axelle Ropert, France, A+30)

MISS AND THE DOCTORS (2013, Axelle Ropert, France, A+30)

ในหนังเรื่อง THE HUNDRED-FOOT JOURNEY (2014, Lasse Hallström) ถ้าเราจำไม่ผิด ตัวละคร Madame Mallory (Helen Mirren) เจ้าของร้านอาหารชื่อดัง มีวิธีที่น่าสนใจมากในการทดสอบคนที่มาสมัครเป็นพ่อครัว คือแทนที่เธอจะให้ผู้สมัครทำอาหารยากๆเพื่อพิสูจน์ฝีมือการทำอาหารว่าเก่งจริงแค่ไหน เธอกลับทดสอบผู้สมัครด้วยการให้เขาทำไข่เจียว เพราะอาหารที่ดูเหมือนง่ายที่สุด เบสิคที่สุดนี่แหละ สามารถตัดสินได้ว่าพ่อครัวคนนั้นเก่งจริงหรือไม่ (หรือทำอาหารได้อร่อยถูกปากเธอหรือไม่)

เวลาที่เราดู MISS AND THE DOCTORS เราก็รู้สึกเหมือนกัน คือเรารู้สึกว่า “เนื้อเรื่อง” ของหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย มันเหมือนกับละครทีวีที่นำแสดงโดยหมิว ลลิตาเมื่อ 20 ปีที่แล้วหรืออะไรทำนองนี้ พล็อตของมันก็คือพี่ชายน้องชายคู่หนึ่งที่เป็นหมอเหมือนกัน ตกหลุมรักบาร์เทนเดอร์สาวคนเดียวกัน พี่ชายมีบุคลิกสุภาพเคร่งขรึม น้องชายมีบุคลิกร่าเริง ขี้เล่น ส่วนบาร์เทนเดอร์สาวมีลูกสาวอายุประมาณ 10 ขวบคนนึงที่เป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ผู้ช่วยสาวสวยในคลินิกก็ตกหลุมรักตัวพี่ชายด้วยเหมือนกัน

หลังจากพี่ชายน้องชายพบว่าทั้งสองตกหลุมรักหญิงสาวคนเดียวกัน และทะเลาะ+ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ทั้งสองก็เจออุปสรรคใหม่อีก เพราะผัวเก่าของบาร์เทนเดอร์สาวที่เลิกร้างกันไปเมื่อ 10 ปีก่อนพยายามจะขอกลับมาคืนดีกับนางเอกอีก แล้วนางเอกจะเลือกใคร

คือพล็อตมันเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจในตัวมันเองเลยน่ะ และถ้าหากมันไปอยู่ในมือของผู้กำกับบางคน หนังเรื่องนี้มันก็อาจจะออกมาต่ำช้ามากๆได้ แต่พอมันมาอยู่ในมือของ Axelle Ropert เรากลับรู้สึกว่าทุกฉากทุกตอนมันออกมา wavelength ตรงกับเรามากๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย เรารู้สึกว่ามันไม่ตลกเกินไป ไม่ซีเรียสเกินไป ไม่ขยี้อารมณ์เกินไป ไม่ด้านชาทางความรู้สึกมากเกินไป เราแค่รู้สึกว่าทุกอย่างในหนังมันลงตัวสำหรับเรา ซึ่งเรื่องแบบนี้เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน มันเหมือนกับกินไข่เจียวจานนึงที่รสชาติมันอร่อยลงตัวถูกต้องตรงตามรสนิยมเรามากที่สุดเท่านั้นเองน่ะ คือเรารู้สึกว่าองค์ประกอบหลายๆอย่างในหนังเรื่องนี้มันเคยปรากฏในหนังเป็นพันเรื่องที่เราเคยดูมาแล้ว เหมือนเราเคยกินไข่เจียวแบบนี้มาแล้วเป็นพันๆครั้ง เพียงแต่ว่ามีครั้งนี้ที่รสชาติมันลงตัวสำหรับเรา

สิ่งอื่นๆที่ชอบในหนังเรื่องนี้

1.ตัวละครพระเอกตอนแรกดูแล้วรู้สึกว่ามันตรงสเปคเรามากๆ เป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่น เคร่งขรึม  หน้าตาดีแต่อาจจะไม่ได้หล่อมาก

คือตอนแรกเรารู้สึกว่าตัวละครพระเอกดู desirable มากๆสำหรับเรา แต่พอหนังดำเนินไปเรื่อยๆ เราจะค่อยๆรู้สึกว่าตัวละครหลักทุกตัวในหนังมันกลายเป็นมนุษย์ธรรมดามากขึ้นเรื่อยๆ มันมีเลือดมีเนื้อ มีข้อบกพร่อง มีจุดอ่อน มีความเปราะบาง มีความธรรมดาสามัญมากขึ้นเรื่อยๆ

สรุปว่าตอนต้นเรื่องเราอยากได้พระเอกเป็นผัวมากๆ และตอนจบเรื่องเราก็ยังอยากได้พระเอกเป็นผัวอยู่ดี แต่เหมือนมุมมองที่เรามีต่อเขาเปลี่ยนไป คือเหมือนตอนต้นเรื่องเรามองเขาเป็นวัตถุแห่งความปรารถนาของเรา แต่พอจบเรื่องเรามองว่าเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึงที่ถ้าเราได้เป็นผัวก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร 555

2.ฉากประตูเปิดแล้วเปิดอีกเป็นฉากที่ชอบมากๆ คือมันมีฉากนึงที่ตัวละครตัวนึงสารภาพรักกับนางเอก แล้วนางเอกก็ตอบปฏิเสธ แล้วนางเอกกับลูกสาวก็เดินออกจากตึก แล้วประตูอัตโนมัติก็เปิด แล้วนางเอกกับลูกสาวก็เดินออกจากตึกไป แต่หลังจากนั้นประตูอัตโนมัติก็เปิดปิดอีก โดยที่ไม่มีใครอยู่ตรงประตูเลย แล้วประตูอัตโนมัติก็เปิดปิดอีก โดยที่ไม่มีใครอยู่ตรงประตูเลย

คือเราว่าฉากแบบนี้มันดู magic ดีน่ะ คือเราไม่รู้ว่ามันสื่อความหมายอะไร (ที่แน่ๆคือไม่ใช่ผี) แต่มันดูน่าประทับใจมากๆ และเราว่าฉากประตูเปิดปิดโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้มันวัดความสามารถของผู้กำกับ/คนเขียนบทด้วยแหละ คือการที่ประตูมันเปิดปิดโดยไม่มีสาเหตุ มันไม่มีผลกระทบต่อเส้นเรื่อง และเราก็ไม่รู้ด้วยว่ามันสื่อความหมายอะไร แต่มันตราตรึงในความทรงจำของเรามากๆ และเราว่าคนที่คิดฉากที่น่าประทับใจโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้ขึ้นมาได้มันไม่ใช่คนธรรมดา

3.ฉากที่พี่น้องทะเลาะกันผ่านคนกลาง เป็นฉากที่ตลกมากๆ และก็น่ารักมากๆด้วย

4.เราว่าตัวพระเอกที่ทำหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลาแบบนี้ มันเหมือนมีกลิ่นไอจางๆของ “ตลกหน้าตาย” อยู่น่ะ และมันทำให้เรานึกถึงอะไรบางอย่างในหนังของ Wes Anderson และ Martin Rejtman แต่ถ้าพูดกันตามจริงก็คือ เรารู้สึกว่า Wes Anderson ทำหนังดีมาก แต่ wavelength ไม่ตรงกับเรา ส่วน Axelle Ropert นี่ wavelength ตรงกับเรามากๆ


5.มีบางส่วนในหนังเรื่องนี้ที่เราเดาว่าคงได้รับแรงบันดาลใจจาก THREE COLORS: BLUE, WHITE, RED ของ Krzysztof Kieslowski อยู่ด้วย เพราะตัวละครใน BLUE, WHITE, RED ต่างก็เจอกับหญิงชราที่ดูเหมือนจะต้องการความช่วยเหลือคนนึง และตัวละครก็จะแสดงปฏิกิริยาแตกต่างกันไปต่อหญิงชราคนนั้น ส่วนใน MISS AND THE DOCTORS นั้นมีชายขี้เมาที่ต้องการความช่วยเหลือ และตัวละครแต่ละตัวก็จะต้องตัดสินใจว่าจะช่วยชายขี้เมาคนนี้หรือไม่

No comments: