Thursday, June 25, 2015

A FILM REVIEW BY NOEL VERA TRANSLATED INTO THAI

NINANAIS (REFRAINS HAPPEN LIKE REVOLUTIONS IN A SONG, John Torres, 2010)

เขียนโดย Noel Vera ในวันที่ 17 ส.ค. 2010 จาก blog

แปลโดย จิตร โพธิ์แก้ว

เพลงบังเกิดขึ้นเหมือนท่อนซ้ำของการปฏิวัติ

ในช่วงต้นของหนังเรื่อง NINANAIS: REFRAINS HAPPEN LIKE REVOLUTIONS IN A SONG (2010) ซึ่งเป็นหนังเรื่องล่าสุดของจอห์น ตอร์เรสนั้น เราได้ยินคำพูดเหล่านี้ (จากความทรงจำแบบคร่าวๆ):

“อย่ามองหาเราในประวัติศาสตร์หรือในหนังสือที่เขียนโดยผู้ชนะ พวกนั้นเป็นสิ่งที่แม่นยำและแน่นอน ส่วนเราเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญและเป็นสิ่งที่อยู่กึ่งกลาง

อย่ามองหาเรื่องราวของเราในนิทานปรัมปรา, ภาพที่ปรากฏ, ตำนานที่อุดช่องว่าง สิ่งเหล่านั้นเป็นสะพานเชื่อม ส่วนเรายืดตัวและร่วงหล่น จงฟังใบหน้าของเรา อย่ายึดมั่นในคำพูดของเรา เรื่องรักของเราอยู่ที่สีสันแห่งเสียงของเรา

ในท้ายที่สุดแล้ว เราจะปฏิเสธการปฏิวัติและมาถึงความรัก”

ถ้อยคำเหล่านี้ได้กำหนดโทนของหนังเรื่องนี้ และบ่งชี้ว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอะไร มันไม่ใช่เรื่องของประวัติศาสตร์หรือบุคคลในประวัติศาสตร์ แต่เป็นเรื่องของคนธรรมดาที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องของตำนานวีรบุรุษหรือมหากาพย์ แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของคนใกล้ชิด ถ้อยคำเหล่านี้ยังบ่งชี้อีกด้วยว่า เราควรจะมองเนื้อเรื่องของสิ่งเหล่านี้และภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไร เราไม่ควรมองมันเป็นเรื่องเล่าแบบตรงไปตรงมาตามตัวอักษร แต่มองมันเป็นชุดของอารมณ์, ภาพ, การเปรียบเทียบ และการเชื่อมโยงที่ต้องอาศัยหัวใจและปฏิภาณในการเชื่อมโยง ไม่ใช่ตรรกะ (ใครก็ตามที่มองหาเหตุและผลในหนังเรื่องนี้จะต้องรู้สึกหัวเสียอย่างรุนแรง)

อย่างไรก็ดี มีเนื้อเรื่องเรื่องหนึ่งอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ หรือถ้าหากกล่าวตามจริงแล้ว มีเนื้อเรื่องราวๆ 3 เรื่องอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของ “นากมาลิตง ยาวา” สาวสวยที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายที่ไต่ลงไปในถ้ำที่มีชื่อว่า “คุรุนดาลัน” เพื่อปลดปล่อย “ฮูมาดัปนอน” ชายคนรักของเธอที่ถูกคุมขังไว้  และที่จริงแล้ว เรื่องราวดังกล่าว (ซึ่งเป็นเพียงส่วนแรกของนิทานมหากาพย์เรื่องหนึ่ง) ถูกเล่าโดย binakod ซึ่งเป็นสาวสวยที่ถูกชนเผ่า Sulanon ในเกาะปานายเลือกไว้ตั้งแต่เด็ก โดยเด็กหญิงที่ถูกเลือกนี้จะต้องอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว (คำว่า binakod หมายถึง เก็บสงวนไว้) เพราะเธอมีหน้าที่เรียนรู้มหากาพย์ Hinilawod และเรื่องราวความรักในมหากาพย์นี้ถือเป็นภารกิจตลอดชีวิตของ binakod

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของซาราห์ด้วย เธอกำลังตามหาเอมิลิโอ ผู้ที่เธอเคยพบเจอเพียงแค่ในความฝัน และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะทำงานเป็นคนทวงหนี้ เธอกำลังตระเวนไปทั่วเมืองกูอิมบาลเพื่อทวงหนี้จากคนต่างๆ และมีอยู่จุดหนึ่งที่เธอต้องข้ามแม่น้ำ และเด็กๆก็เห็นเธอในตอนนั้น และคิดว่าเธอกำลังเดินบนผิวน้ำ และเด็กๆก็เข้าใจผิดคิดว่าเธอคือนากมาลิตง ยาวา ทั้งนี้ เมื่อเธอไปเจอลูกหนี้คนถัดไป เขาก็รีบยื่นเงินให้เธอในทันที โดยไม่มีการบ่นหรืออิดออด (เราเห็นเธอในระยะไกลขณะข้ามแม่น้ำ และเธอก็ดูเหมือนกำลังเดินบนผิวน้ำ เธอ “คือ” นากมาลิตง ยาวา พลังธาตุที่กำลังตามหาคนรักที่พลัดพรากไป และนี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของภาพที่ดูเหมือนถ่ายแบบฉับพลันแต่สามารถกระตุ้นคนดูให้คิดประหวัดถึงสิ่งต่างๆได้ ซึ่งเป็นภาพแบบที่ตอร์เรสสามารถนำเสนอบนจอภาพยนตร์ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า)

ซาราห์เดินทางไปคุยกับตาตาง กิเยร์โม ซึ่งเข้าใจผิดคิดว่าเธอคือบุตรีของเขาที่ตายไปนานแล้ว และสิ่งนี้ก็นำไปสู่เรื่องราวอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็คือเรื่องของนายพลกิเยร์โม ผู้นำของกองกำลังโวลุนตาริออส และนายพลตัน มาร์ติน ผู้นำของกองกำลังรีโวลูซิออนนาริออส ซึ่งเป็นกองกำลังคู่อริสองกลุ่มที่ต่อสู้กับจักรวรรดินิยมอเมริกาเพื่อเอกราชของชาติ กิเยร์โมอยู่ในความโศกเศร้านับตั้งแต่ลินซึ่งเป็นบุตรีของเขาเสียชีวิตไป และเขาก็ดูเหมือนจะพบลินอีกครั้งในตัวซาราห์ ถึงแม้กาลเวลาและยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ตอร์เรสเล่าเรื่องนี้แล้วก็ไปเล่าเรื่องนั้น เขานำเรื่องมาไขว้กันและฉีกออกจากกันท่ามกลางโยงใยอันซับซ้อน และเขาผสมทั้งประวัติศาสตร์, ตำนาน และความคิดคำนึงส่วนตัวเข้าด้วยกัน เขานำเรื่องราวเหล่านี้และบทกวีที่ถูกขับขานเป็นครั้งคราวมาสมรสกับภาพ ซึ่งเป็นภาพที่ปฏิบัติตัวตามคำพูดเปิดเรื่องที่บอกเราว่า เราไม่ควรเชื่อฟังถ้อยคำ แต่ควรเงี่ยหูฟัง “สีสันของเสียงของเรา” แทน เราไม่เห็นใบหน้าคนมากเท่ากับได้เห็นเสี้ยวหน้า และหนังไม่ได้ติดตามผู้คนมากเท่ากับติดตามหัวเข่า, ข้อศอก และด้านหลังของศีรษะ ตอร์เรสทำเหมือนกับโรแบร์ต เบรซองในแง่ที่ว่า เขาดูเหมือนจะไม่ต้องการถ่ายผู้คนในแบบเดียวกับหนังคลาสสิคของฮอลลีวู้ด ซึ่งได้แก่การถ่ายภาพแบบโคลสอัพหรือลองช็อต โดยให้ใบหน้าอยู่ตรงกลางและเผชิญหน้ากับกล้อง แต่เขาต้องการชำเลืองดูคนเหล่านี้จากด้านข้าง และจากมุมภาพที่เอียงกะเท่เร่อย่างเป็นปริศนา เราถูกกระตุ้นให้เพ่งความสนใจไปที่หนังตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้ว่าคนบนจอเป็นใครหรืออะไรกันแน่ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ ในขณะที่ตอร์เรสคอยป้อนรายละเอียด, คำบอกใบ้ หรือเบาะแสให้แก่เราอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ

อย่างไรก็ดี ตอร์เรสทำมากกว่าชำเลืองดูนักแสดงของเขา เขาดัดแปลงชื่อ Sulanon และ binakod มาจาก Suludnon และ binukot ซึ่งเป็นคำเดิม และเขาก็เอาชื่อคนในประวัติศาสตร์อย่างเช่นนายพลกิเยร์โมและนายพลตัน มาร์ตินมาใช้ แต่สร้างรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นความจริงให้แก่คนเหล่านี้ เพราะเหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้น หรือมีเหตุผลอะไรที่เขาไม่ควรทำเช่นนั้นกันล่ะ ถ้าหากคุณเชื่อฟังคำพังเพยที่เขาใช้ในช่วงเปิดเรื่อง คุณก็ไม่ควรจะฟังถ้อยคำของเขาอย่างใกล้ชิดเกินไป แต่ควรจะฟังใบหน้าของตัวละครแทน และควรจะฟัง “สีสันในเสียงของตัวละคร” คุณไม่ควรจะมุ่งความสนใจไปยังข้อเท็จจริงที่เฉพาะเจาะจง (ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องแต่งประมาณครึ่งหนึ่ง) แต่ควรจะมุ่งความสนใจไปยังเรื่องราวของชีวิตคนธรรมดาต่างหาก

ถ้อยคำของตอร์เรส (ถึงแม้เขาแนะนำว่าไม่ควรเชื่อฟังมันก็เถอะ) ในบางครั้งอาจจะฟังดูน่าขัน อย่างเช่นในตอนที่ซาราห์เล่าถึงความฝันที่ขากับครรภ์ของเธอบินออกไปและไปพันรอบต้นไม้ต้นหนึ่ง (คุณคิดว่ามันเป็นสัญลักษณ์แบบฟรอยด์ใช่ไหม)  และภาพในหนังของเขาในบางครั้งก็ดูน่าสะพรึง อย่างเช่นในตอนที่มีการพูดกันอ้อมๆถึงสงคราม และเราก็เห็นเด็กผู้ชายในท้องถนนฝุ่นคลุ้งในชนบทขายมีดพร้าด้ามใหญ่ โดยใบมีดส่องประกายแวววาวท่ามกลางแสงแดดจ้า และน้ำหนัก, ความยาว และความคมของใบมีดก็บ่งชี้ว่ามันสามารถตัดกิ่งไม้หรือแม้แต่แขนขาของมนุษย์ให้ขาดออกจากกันได้ ตอร์เรสดูเหมือนจะพัฒนาลักษณะภาพแบบเฉพาะขึ้นมาด้วย ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์และหลุดโฟกัสในบางครั้ง โดยมีการใช้บัญชรสีที่สดใส และหนังเรื่องนี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นฟุตเตจฟิล์มประเภท Super 8 ที่ถูกฉายโดยเครื่องฉายหนังโบราณ มันเป็นเรื่องตลกดีที่สื่อประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาใช้เป็นประจำเพื่อสะท้อนถึงความทรงจำเก่าๆ และความเบลอของภาพกับความไม่เสถียรของฟันเฟืองในเครื่องฉายก็มักจะบ่งชี้ถึงความทรงจำที่ลางเลือน หนังเรื่องนี้มีความพิศวง แต่ก็ให้ความรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสูงค่าในขณะเดียวกัน มันเหมือนกับว่าใครบางคนค้นพบม้วนฟิล์มนี้ในตู้เก็บของฝุ่นเขรอะที่ถูกปิดล็อคไว้ในห้องที่ถูกหลงลืมในคฤหาสน์ใหญ่เก่าแก่หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางดงต้นมะพร้าว และคุณก็นำม้วนฟิล์มนี้มาใส่ในเครื่องฉายหนัง กดปุ่มเปิดมัน และมองดูแสงกะพริบบนจอที่เปิดประตูให้แก่โลกของภูติผี

หนังของตอร์เรสมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก และการที่เขาให้เสียงบทบรรยายด้วยตัวเองในหนังเกือบทุกเรื่องของเขาทำให้มันมีลักษณะเช่นนั้น ถึงแม้คุณอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่านั่นเป็นเสียงของเขา เสียงนั้นพูดอย่างเงียบๆ และเกือบจะเหมือนกระซิบกับคุณ มันเหมือนกับว่าตอร์เรสนั่งอยู่ข้างๆคุณและกระซิบข้างหูคุณ ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้หนังเรื่องก่อนๆหน้านี้ของเขา ซึ่งได้แก่เรื่อง TODO TODO TEROS (2006) และ TAON NOONG AKO’Y ANAK SA LABAS (YEARS WHEN I WAS A CHILD OUTSIDE, 2008) มีลักษณะเหมือนคำสารภาพ มันเหมือนกับว่าตอร์เรสเจาะกะโหลกของตัวเองและเปิดมันออกมาเพื่อให้คุณสำรวจอย่างใกล้ชิด ส่วน NINANAIS นั้นทำงานในระดับที่ทะเยอทะยานมากยิ่งขึ้นไปอีก มันเป็นการเล่าประวัติศาสตร์และตำนานผ่านทางสไตล์ภาพยนตร์ที่คลุมเครือและไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ส่วนชื่อหนังเรื่องนี้นั้นเป็นที่แน่นอนว่ามันเป็นการเล่นคำที่มาจากชื่อหนังเรื่อง REVOLUTIONS HAPPEN LIKE REFRAINS IN A SONG (1987) ของนิค ดีโอแคมโป ซึ่งเป็นชื่อหนังที่ดีโอแคมโปใช้สื่อถึงลักษณะการหมุนวนเป็นวงกลมของประวัติศาสตร์ ส่วนในชื่อหนังเรื่องนี้นั้น ตอร์เรสอาจจะสื่อถึงผลกระทบอันสับสนวุ่นวายที่ท่วงทำนองทางอารมณ์, ทางสังคม และทางประวัติศาสตร์อาจจะส่งผลต่อชีวิตของเรา โดยในฉากหนึ่งนั้นตัวละครเอมิลิโอที่อาจจะไม่มีตัวตนจริงได้ประกาศว่า “สงครามทุกสงครามคือเรื่องราวของความรัก” ซึ่งเป็นการสะท้อนสิ่งที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วในช่วงต้นเรื่อง และบ่งชี้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มาถึงตอนจบ แต่กลับมาถึงจุดเริ่มต้นและเริ่มดำเนินเรื่องไปอีกครั้ง การปฏิวัติและท่อนซ้ำของเพลงเกิดขึ้นหมุนวนซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่มีวันจบสิ้น นี่เป็นหนังที่อาจจะดูยาก แต่ก็งดงามจนไม่อาจจะบรรยายได้ และคงไม่จำเป็นจะต้องบอกแต่อย่างใดว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีเลิศที่สุดที่ผมได้ดูมาในปีนี้


No comments: