THE DIVINE FURY (2019, Kim Joo-hwan, South Korea, A+15)
--ชอบช่วงครึ่งแรกมากๆ
เพราะช่วงครึ่งแรกเหมือนหนังมันมีศักยภาพที่จะกลายเป็นหนังที่แนวเราอยากดู
นั่นก็คือแนวที่คล้ายกับหนังสือการ์ตูนเรื่อง AMATERASU ของ Suzue
Miuchi
ที่เหมือนเป็นการต่อสู้กันของอิทธิฤทธิ์เวทมนต์แบบไร้ขีดจำกัด
คือถ้าหากเราจำไม่ผิด ในการ์ตูน AMATERASU มันเหมือนจะมีลัทธิบูชาปีศาจ,
ซาตานอยู่ในนั้นเหมือนกันน่ะ โดยที่ลัทธินี้จะมีเครื่องมืออันหนึ่งเป็นวงดนตรีที่โด่งดัง
แล้วแฟนเพลงของวงนี้ก็จะเหมือนถูกมนต์สะกดให้กลายเป็นสาวก
คือเหมือนพวกผู้ร้ายใน AMATERASU จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับซาตาน
หรืออะไรคริสต์ๆ แต่พวกผู้ร้ายใน AMATERASU ไม่ได้ตบตีกับวาติกัน
แต่ตบตีกับเจ้าแม่ดวงตะวัน Amaterasu ของญี่ปุ่น
เราก็เลยรู้สึกว่า AMATERASU มันสร้าง “จักรวาล”
ของมันเองที่ไปไกลมากๆ คือการ์ตูนเรื่องนี้เหมือนแต่งไม่จบ
เราได้อ่านมันแค่ไม่กี่เล่มก็จริง
แต่เรารู้สึกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันมีศักยภาพที่จะสามารถครอบคลุมทุกความเฮี้ยนบนโลก
เหมือนถ้าเอาจริงๆแล้ว การ์ตูนเรื่องนี้มันสามารถผนวกเอาเทพฮินดู,
ปิรามิดของชนเผ่ามายา หรืออะไรก็ตามเข้ามาในเรื่องได้ด้วย
--เราก็เลยชอบครึ่งแรกของ THE DIVINE FURY มากๆ เพราะมันมี “หมอผี”
ของเกาหลีใต้ และการต่อสู้กันของฝ่ายพระเอกกับฝ่ายผู้ร้ายในช่วงครึ่งแรก
มันเป็นอะไรคริสต์ๆก็จริง แต่ดูแล้วเรานึกถึง “คุณไสยของเขมร” มากๆ
แบบว่าฝ่ายผู้ร้ายปล่อยคุณไสยไปเข้าคนอื่นๆ แต่ถ้าหากเจอคนที่มีอิทธิฤทธิ์
คุณไสยนั้นก็จะกลับไปเข้าตัวคนปล่อยคุณไสยซะเอง
--เราก็เลยรู้สึกว่าช่วงครึ่งแรกของ THE DIVINE FURY เข้าทางเรามากๆ
แต่พอช่วงครึ่งหลัง เราก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ไปไกลกว่า “หนังปราบผี”
แบบคาทอลิกเรื่องอื่นๆที่เคยดูมาน่ะ อย่างเช่น THE EXORCIST, หนังตระกูล THE CONJURING อะไรพวกนี้
No comments:
Post a Comment