Wednesday, September 25, 2019

REVENGE ON THE MOON (2019, Wiroth Suwannarakgoon, short film, A+25)


REVENGE ON THE MOON (2019, Wiroth Suwannarakgoon, short film, A+25)

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่

1.ในแง่ filmmaking เราก็คงไม่มีความเห็นอะไรนะ 5555 รู้สึกว่ามันเป็นงานที่มาตรฐานดี ตอบโจทย์ได้ดีอยู่แล้ว หนังดูเพลินมากๆ สนุก ดูมีความเท่ๆเก๋ๆด้วย ชอบการเปลี่ยนเฟรมภาพ, การใช้ภาพเบลอในบางช่วง ดูมีความแพรวพราวด้านสไตล์ภาพ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะทีมงานคุ้นเคยกับงานโฆษณาและ MV ทุกอย่างก็เลยออกมาดูสนุก สามารถตรึงความสนใจผู้ชม “ออนไลน์” ได้ตลอด

คือหนังที่ดูสนุก บันเทิง แบบนี้ จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่ทางเราซะทีเดียว แต่เข้าใจว่าผู้ชมกลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นผู้ชมวัย 15-35 ปีที่ดูหนังออนไลน์น่ะ ซึ่งผู้ชมกลุ่มนี้น่าจะสมาธิสั้นกว่าผู้ชมหนังยาวในโรงหนัง เพราะการดูออนไลน์มันถูก distract ได้ง่ายมากๆ เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้มันจึงต้องหาทางเร้าความสนใจผู้ชมตลอดเวลาผ่านทางการซอยช็อตให้สั้นๆ และแต่ละช็อตดูมีอารมณ์ที่ชัดเจนจับต้องได้ง่าย

เราก็เลยคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายได้ดีทีเดียว (ซึ่งอาจจะครอบคลุมถึงผู้ชมกลุ่มเดียวกับที่ชอบหนัง GDH และหนังของเต๋อ นวพล) ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้

2.ชอบความ self-reflexive ของหนัง ดูแล้วไม่แน่ใจว่ามันมาจากชีวิตจริงของผู้สร้างหนังมากน้อยแค่ไหน ชอบความ “ฟิล์มบำบัด” ของมัน

คือถ้าหากหนังเรื่องนี้มันสะท้อนความรู้สึกของตัวผู้สร้างหนังออกมาจริงๆ  เราก็ชอบสุดๆที่ผู้สร้างหนังดัดแปลง “พลังในทางลบมากๆ” ในใจตัวเองออกมาผ่านทางการสร้างภาพยนตร์ หรือผ่านทางการสร้างงานศิลปะน่ะ ดีกว่าที่จะออกไปทำร้ายคน หรือก่อเรื่องที่ไม่ดี

คือถ้าหากการสร้างหนังเรื่องนี้มันช่วย exorcise the demon ในใจผู้สร้างหนังออกมาได้ มันก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆเลยนะ เราสนับสนุนให้คนเราจัดการกับ “ความคิดชั่วร้ายในใจตัวเอง” ด้วยวิธีการแบบนี้ คือเวลาที่เราถูกครอบงำด้วยความคิดชั่วร้ายนั้น สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการหาทางดับความคิดชั่วร้ายในใจตัวเองนั้นซะ ค่อยๆหาทางดับมันไป

แต่ถ้าหากดับความคิดชั่วร้ายในใจตนเองไม่ได้ เราก็ควรใช้ประโยชน์จากมันด้วยการดัดแปลงมันเป็นงานศิลปะ หรือถ่ายทอดมันออกมาผ่านทางการแต่ง fiction, สร้างหนังโป๊, สร้างภาพยนตร์ หรืออะไรก็ตามที่ “ไม่ใช่การสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นๆ” น่ะ

เราก็เลยชอบที่หนังเรื่องนี้มันน่าจะทำหน้าที่เป็น “ฟิล์มบำบัด” อย่างนึง เป็นการระบายออกอย่างนึง และหวังว่าผู้สร้างหนังน่าจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ระบายมันออกไปจากตัวเอง

3.ถ้าหากถามว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดถึงหนังเรื่องอะไร  เราก็จะตอบว่า เรารู้สึกว่ามันเหมือนกับเป็นส่วนผสมระหว่างหนังของวีระ รักบ้านเกิด กับหนังเรื่อง “โมโฟ สิ้นชีวี อีดอกทอง” (2007, Alwa Ritsila, Komvish Zally)

คือวีระ รักบ้านเกิด ทำหนังสั้นหลายเรื่องที่เป็นการพร่ำรำพันถึงความอกหัก ความเหงาน่ะ ส่วนหนังเรื่อง “โมโฟ สิ้นชีวี อีดอกทอง” ก็เป็นหนังที่ใช้ตุ๊กตาบาร์บี้เล่น โดยเนื้อหาของมันเกี่ยวกับการแก้แค้นหญิงคนรักกับชายชู้ด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมทารุณอย่างสุดๆ

เพราะฉะนั้นตอนดู REVENGE ON THE MOON เราก็เลยรู้สึกว่ามันมีองค์ประกอบบางอย่างที่ทำให้นึกถึงหนังเหล่านี้ แต่ยังดีที่ระดับความโหดของมันน้อยกว่า “โมโฟ สิ้นชีวี อีดอกทอง” อย่างมากๆ

4.ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงหนังกลุ่ม romantic autobiography หรือหนังที่ดัดแปลงมาจากชีวิตรักของผู้สร้างหนังด้วย ซึ่งในบรรดาหนังกลุ่มนี้นั้น ถ้าหากพูดถึงเฉพาะหนังไทยแล้ว หนังที่เราชอบที่สุด ก็น่าจะเป็นเรื่อง TIME ACTUALLY PASSES SLOWER IN DREAM (2016, Alwa Ritsila, Lucy Day, Watcharapong Narongphine)

ส่วนในบรรดาหนังต่างประเทศนั้น หนังแนว romantic autobiography ที่เราชอบสุดๆ ก็คือหนังหลายๆเรื่องของ Philippe Garrel อย่างเช่น THE BIRTH OF LOVE (1993) และ PHANTOM HEART (1996)

5.แต่ถ้าถามว่า ทำไมเราถึงไม่ชอบ REVENGE ON THE MOON ถึงขั้น A+30 เราก็ขอตอบว่า เราเกลียดตัวละครพระเอกหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงจ้า 55555 เราเกลียดคนแบบนี้อย่างสุดๆ เพราะเรามองว่าคนแต่ละคนไม่มีใครเป็น “เจ้าของ” ใครน่ะ พ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของลูก ลูกก็ไม่ได้เป็นเจ้าของพ่อแม่ ผัวก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเมีย เมียก็ไม่ได้เป็นเจ้าของผัว เพราะฉะนั้นถ้าหากใครอยากจะเลิกรากับใคร ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนแต่ละคนที่จะเลิกรากับคนรักของตัวเองได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆเลยก็ได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกเกลียดทัศนคติหรือความคิดของตัวละครพระเอกมากๆ เพราะเขามองเหมือนกับว่า นวลวาฬ เป็นสมบัติของเขา

แต่ถ้าหากเขามองว่า นวลวาฬ ไม่ใช่ของของเขา และเขารักตัวเอง ภาคภูมิใจในตัวเองได้ มีความสุขกับตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยความรักจากคนอื่นๆมาช่วยรับประกันเสริมหนุนค้ำยันอัตตาของตนเอง ให้ตนเองเป็นคนตัดสินคุณค่าของตนเอง ไม่ใช่ให้คนรักเป็นคนตัดสินคุณค่าของตัวเรา ถ้าหากเขามีทัศนคติแบบนั้น เราถึงจะรักพระเอกหนังเรื่องนี้ 555

และโดยส่วนตัวแล้ว ในบรรดา “หนังที่เราชอบที่สุดตลอดกาล” my most favorite films of all time นั้น หลายเรื่องมันเป็นหนังเกี่ยวกับ “ผู้หญิงทิ้งผัว” น่ะ  ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงอินกับตัวละครกลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ ทั้ง THE LEFT-HANDED WOMAN (1978, Peter Handke, West Germany) ที่เล่าเรื่องของผู้หญิงที่ทิ้งผัวโดยไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น, VALERIE FLAKE (1999, John Putch) และ SHIRLEY VALENTINE (1989, Lewis Gilbert, UK) ที่เล่าถึงผู้หญิงที่ทิ้งผัว/คนรักแสนดีไป เพราะเธออยากอยู่เป็นโสดมากกว่า เพราะฉะนั้นเราก็เลยเหมือนจะอยู่ “ฝ่ายตรงข้าม” กับพระเอกหนังเรื่อง REVENGE ON THE MOON โดยปริยายน่ะ เพราะเรามักจะอินกับตัวละครนางเอกที่ทิ้งผัว เราก็เลยรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับตัวละครพระเอกของหนังเรื่องนี้โดยอัตโนมัติ 55555

No comments: