ลืม รัก (2015, ปพิชญา จันทรเจษฎากร, 28min, A+30)
--สิ่งที่ชอบมากๆในหนังเรื่องนี้
ก็คือการที่หนังให้ความสำคัญมากพอสมควรกับอาชีพของตัวละครน่ะ คือตัวละครทั้ง 3 คนเป็นสถาปนิกหมดเลย
และดูเหมือนหนังให้ความสำคัญกับจุดนี้มากกว่าหนังไทยโดยทั่วไป
คือพล็อตหลักของหนังจริงๆแล้วเราเฉยๆนะ
เพราะพล็อตเรื่องพ่อแม่ปู่ย่าตายายญาติโกโหติกาเป็นอัลไซเมอร์นี่
เป็นพล็อตที่เราเคยเจอในเทศกาลหนังสั้นไทยมาแล้วประมาณ 50 เรื่องได้มั้ง และเราก็คิดว่าหนังเรื่องนี้นำเสนอในส่วนของพล็อตหลักได้ดีแบบเสมอตัว
คือจริงๆแล้วมันก็ทำได้ดีมากแหละในส่วนนี้
เพียงแต่ว่ามันอาจจะมีหนังสั้นไทยอีกประมาณ 20-30 เรื่องที่ทำส่วนนี้ได้ดีพอๆกัน
เพราะฉะนั้นถึงแม้หนังเรื่องนี้จะนำเสนอเรื่องราวซึ้งๆของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้ดีมาก
แต่มันก็ “ดีมาก” ในระดับที่เท่ากับหนังสั้นเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องน่ะ
แต่เป็นสิ่งที่ดีที่หนังเรื่องนี้มีจุดเด่นเป็นของตัวเองเมื่อเทียบกับหนังอัลไซเมอร์เรื่องอื่นๆ
หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นเมื่อเทียบกับหนังสั้นของนักศึกษาไทยโดยทั่วไปก็ได้
เพราะหนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญมากพอสมควรกับอาชีพของตัวละคร
ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยพบในหนังสั้นของนักศึกษาไทยโดยทั่วไป
เพราะในหนังสั้นของนักศึกษาไทยนั้น เรามักจะพบแค่ “ตัวละครที่ทำงานออฟฟิศ”
แต่เราแทบไม่เคยรู้เลยว่าออฟฟิศนั้นเป็นของบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทอะไร เพราะฉะนั้นหนังเรื่อง
“ลืม รัก” ก็เลยมีจุดเด่นขึ้นมาได้ในแง่นี้
และไม่จมหายไปกับหนังสั้นไทยอัลไซเมอร์จำนวนมาก
--การที่ตัวละครหลักทั้ง 3 คนเป็นสถาปนิกนั้น
ยังเกี่ยวข้องกับอีกปัจจัยนึงที่เราชอบมากๆในหนังเรื่องนี้ด้วย นั่นก็คือ “บ้าน”
ที่ตัวละครอยู่ เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับ “บ้าน”
ที่ตัวละครอยู่จนเหมือนกับมันเป็นตัวละครอีกตัวนึงเลยน่ะ
และเราว่าหนังเรื่องนี้เลือกโลเกชั่นบ้านที่ใช้ถ่ายหนังได้ดีมากๆด้วย
--สำหรับเราแล้ว เราคิดว่าฉากไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้
หรือฉากที่ประทับใจเรามากที่สุดในหนังเรื่องนี้
คือฉากตอนท้ายๆเรื่องที่พระเอกเดินไปตามจุดต่างๆในบ้านเพื่อหาพ่อของตัวเองน่ะ
ฉากนั้นถ่ายดีมาก และมันเหมือนกับว่า โครงสร้างสถาปัตยกรรมของบ้านหลังนี้
มันกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญขึ้นมาในฉากนั้น
เราว่าจุดนี้เป็นอีกจุดนึงแหละที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังทั่วๆไป
เพราะหนังทั่วๆไปมันไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเป็น material ของบ้านมากเท่านี้
คือหนังเรื่องอื่นๆอาจจะพูดถึง “บ้าน” ในแง่จิตใจ แต่เราว่าหนังเรื่องนี้ “บ้าน”
มันมีพลังทั้งในทางวัตถุและในทางจิตใจด้วย
--เราชอบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของพระเอกกับพ่อด้วย
เพราะถ้าเราเข้าใจไม่ผิด พระเอกเหมือนจะมีฐานะเป็น “ลูกศิษย์” ของพ่อตัวเองด้วย
เหมือนกับว่าเขาเคยเรียนรู้เรื่องสถาปัตย์จากพ่อด้วย
เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของเขากับพ่อก็เลยซับซ้อนยิ่งขึ้น
--ในส่วนของพล็อตหลักเรื่องอัลไซเมอร์นั้น
เราว่าหนังเรียบเรียงอารมณ์ต่างๆได้ดีนะ คือทั้งๆที่เราเดาได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
ว่าในหนังแบบนี้ มันต้องมีฉากที่พ่อก่อเหตุจนสร้างความลำบากใจให้ลูกอย่างมาก
จนลูกทนไม่ไหว และต้องมีการ reconcile อะไรกันสักอย่างในตอนจบ
แต่ถึงแม้เราจะเดาเนื้อเรื่องได้ล่วงหน้า หนังก็ไม่ทำให้เราเบื่อเลยน่ะ
ในฉากที่ลูกโมโหอย่างรุนแรงตอนคุยโทรศัพท์เรื่องงานนั้น เราอินกับตัวลูกมากๆเลยนะ
คือถ้าเราเป็นลูกที่เครียดเรื่องงานอย่างรุนแรง แล้วมาเจออะไรแบบนี้
มันก็ยากที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา ถึงแม้เราจะรู้ตัวว่าเราไม่ควรทำแบบนั้นก็ตาม
คือเราว่าหนังสร้างสถานการณ์ในฉากนั้นได้ดีพอสมควร มันเป็นสถานการณ์ที่เครียด
น่าโมโห และน่าเศร้าใจ และ “ไม่มีใครผิด” ในฉากนั้น
--อีกอย่างที่ดีมากๆ ก็คือ หนังไม่ได้มีท่าทีสั่งสอนอะไรคนดู
และไม่พยายามสร้างความซาบซึ้งมากเกินไป คือหนังอัลไซเมอร์บางเรื่อง
มันมีท่าทีสั่งสอนคนดูว่า เราต้องให้อภัยผู้ป่วยอัลไซเมอร์นะ
เราต้องสำนึกในบุญคุณพ่อแม่ บลา บลา บลา ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆ
เพราะมนุษย์ปกติที่มีสามัญสำนึกมันก็น่าจะสำเหนียกเรื่องนี้ได้เองอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบมากๆที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีการชี้นิ้วประณามว่าลูกทำผิดที่ไปโมโหใส่พ่อ
และไม่ได้มีการพยายามสร้างความซาบซึ้งมากเกินไป
คือเรามองว่าสถานการณ์ในช่วงท้ายของหนัง มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆน่ะ
หลายคนถ้าเจอแบบนั้นก็ต้องอดโมโหพ่อไม่ได้ในฉากนั้น
และต้องรับมือกับปัญหาชีวิตต่างๆที่จะตามมาในการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ต่อไป
--ส่วนเรื่องที่ว่า
หนังเรื่องนี้ควรปรับปรุงในด้านไหนบ้างนั้น ตอนนี้เรานึกไม่ออกนะ
เพราะเราชอบหนังเรื่องนี้มากๆน่ะ
เราว่าต้องให้คนที่ไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากนักมาเป็นคนที่ให้คำแนะนำในเรื่องนี้
--สรุปว่าชอบ “ลืม รัก” มากๆเพราะการให้ความสำคัญกับอาชีพของตัวละคร,
การที่ “บ้าน” กลายเป็นเหมือนตัวละครสำคัญตัวนึงในเรื่อง, การที่หนังทำได้ดีพอสมควรในการเล่าเรื่องผู้ป่วยอัลไซเมอร์
และเพราะว่าพระเอกหล่อมากๆๆๆๆ 555
ส่วนต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับหนังเรื่อง “ลืม รัก” แต่เป็นความคิดเห็นเพิ่มเติมของเราเกี่ยวกับหนังกลุ่มนี้จ้ะ
เนื่องจากมีหนังสั้นเกี่ยวกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์จำนวนมาก
เราก็เลยลองนึกเล่นๆดูว่า ทำไมคนไทยถึงชอบทำหนังสั้นเกี่ยวกับประเด็นนี้กันมากนัก
เราก็เลยเดาว่า สาเหตุน่าจะเป็นดังต่อไปนี้
1.มีการประกวดหนังสั้นเกี่ยวกับประเด็นนี้
โดยเฉพาะหนังสั้นอัลไซเมอร์กลุ่มแรกๆที่ออกมาเมื่อราว 10 ปีก่อน ที่น่าจะเป็นหนัง
“โครงการ” คือเป็นหนังที่ทำขึ้นเพื่อตอบโจทย์เรื่องอัลไซเมอร์โดยเฉพาะ
2.มันเป็นปัญหาที่ไม่ไกลตัว
เพราะเราคิดว่าหลายๆคนคงมีเพื่อนที่มีญาติเป็นโรคนี้จริงๆ อย่างเราก็พบว่าเพื่อนในเฟซบุ๊คบางคนก็มีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์
3.เราว่าโรคนี้มันเหมาะกับ “ภาพยนตร์” น่ะ คือมันเป็นโรคที่สร้าง dilemma ให้ตัวละครต่างๆได้ดี
ตัวละครจะหาทางรับมือกับการจัดแบ่งตารางชีวิตยังไงในการดูแลญาติที่ป่วยเป็นโรคนี้
และโรคนี้ยังนำมาซึ่งสถานการณ์ดราม่าต่างๆได้ง่ายด้วย
เพราะฉะนั้นโรคนี้ก็เลยเป็นโรคที่ “เอื้อต่อการสร้างภาพยนตร์” มากๆ
ในขณะที่ถ้าหากตัวละครป่วยเป็นโรคอื่นๆ อย่างเช่น “โรคไข้กาฬหลังแอ่น”
มันก็คงยากที่จะคิดว่าจะสร้างหนังที่น่าประทับใจได้อย่างไรเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคนี้
4.อีกจุดที่สำคัญมากๆที่ทำให้โรคอัลไซเมอร์
“เอื้อต่อการสร้างภาพยนตร์” เป็นเพราะว่าโรคนี้มันเกี่ยวข้องกับ “ความทรงจำ” น่ะ
และเราว่าประเด็นเรื่อง “ความทรงจำ” มันเป็นประเด็นที่นำมาเล่นกับภาพยนตร์ได้ง่าย
และถ้าเล่นกับมันดีๆ หนังมันก็จะออกมาดีมากๆ
ขอแถมท้ายด้วยรายชื่อหนังไทยเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์หรือโรคความจำเสื่อมที่เราชอบมากๆ
เราว่าหนังแต่ละเรื่องในกลุ่มนี้ก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป
บางทีควรจะมีใครสักคนหยิบหนังกลุ่มนี้มาวิเคราะห์
เพื่อเปรียบเทียบ-เปรียบต่างระหว่างกัน
1.เหมือนเคย (2006, Sivaroj Kongsakul)
2.MEMORIES (2006, ธีระพล สุเนต์ตา)
3.IN AFRICA (2010, ปัญจพล ทรงวิศวะ)
4.ENDLESSLY ตลอดไป (2014, Sivaroj Kongsakul)
5.นาฬิกา (2014, ณัฐชา ขจรเกียรติสกุล)
6.เลือนราง (2015, สุธีกานต์ ศุภมิตร์)
และก็มีหนังอีกเรื่องที่เราไม่แน่ใจว่าตัวละครคุณยายป่วยเป็นอัลไซเมอร์หรือแค่มีอาการประสาทแดก
ซึ่งก็คือเรื่อง GRANDMA CHA WANTS TO BE SURREAL ยายชาอยากเซอร์เรียล
(2009, Saowapak Suriyawongpaisal)
No comments:
Post a Comment