Sunday, August 02, 2015

PART TWO (2015, Chaleamchon Natipat, 71min, A+30)

หลังจากที่เมื่อวันก่อนเราเพิ่งเขียนว่า หนังไทยขนาดยาว (หมายถึงยาวกว่า 30 นาที) ที่เราชอบมากที่สุดในปีนี้ อาจจะเป็นเรื่อง “โลกละเมอ” (2015, เฉลิมพงษ์ อุดมศิลป์, 58 นาที), “โสฬส” (2015, Teeranit Siangsanoh, 79min) กับ HOW TO WIN AT CHECKERS EVERY TIME (2015, Josh Kim) ปรากฏว่าวันนี้อันดับหนังถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เพราะมีหนังไทยขนาดยาวกว่า 30 นาทีอีก 3 เรื่องที่เราชอบมากๆในวันนี้จนอาจจะมีสิทธิ์ติดอันดับหนึ่งประจำปีได้เช่นกัน ซึ่งได้แก่เรื่อง DAILY MALICE (2015, Yukontorn Kaewprang, 44min, A+30), SEE YOU TOMORROW (2015, Nattawoot Nimitchaikosol, 53min, A+30) กับ PART TWO (2015, Chaleamchon Natipat, 71min, A+30)

PART TWO (2015, Chaleamchon Natipat, 71min, A+30) เป็นหนึ่งในหนังไทยที่เราว่าทำ “ฉากตัวละครคุยกัน” ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีพลังมากที่สุดเลย คือเรารู้สึกว่าเวลาที่ตัวละครคุยกันในหนังเรื่องนี้นี่ มันมี “ประจุไฟฟ้า” เคลื่อนไหวระหว่างตัวละครและคำพูดตัวละครในทุกๆมิลลิวินาทีน่ะ ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ เราอาจจะเจอแค่ตัวละคร A พูดประโยคที่หนึ่งด้วยอารมณ์แบบ “ก” แล้วตัวละคร B ก็พูดประโยคที่สองตอบกลับมาด้วยอารมณ์แบบ “ข” มันเหมือนกับว่า “อารมณ์ความรู้สึกแบบมนุษย์” ที่มันมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆเสี้ยววินาที บางทีมันถูกลดทอนให้เหลือเพียงแค่ “หนึ่งอารมณ์ต่อหนึ่งประโยค” เท่านั้นในหนังทั่วๆไป แต่ในหนังเรื่อง PART TWO นี้ เราว่าอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในเรื่องเวลาที่พูดคุยกัน มันเหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นแปล๊บปล๊าบ หมุนตัวด้วยความเร็ว 360 cycles ต่อวินาทีอะไรแบบนี้  ซึ่งเราแทบไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในหนังเรื่องอื่นๆ ยกเว้นในหนังอย่าง MENSTRUAL SYNCHRONY (2014, Jirassaya Wongsutin) หรือหนังของ John Cassavetes, Eric Rohmer และ Mike Leigh


แต่ถ้าหากจะมีเหตุผลใดที่ทำให้ PART TWO ไม่ติดอันดับหนึ่งประจำปีของเรา มันก็เป็นเพียงเพราะว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีประเด็นอะไรที่จี๊ดใจเรา หรือเสียดแทงใจเราอย่างรุนแรง หรือทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงน่ะ คือหนังเรื่องนี้เราว่ามันดีมากๆในแบบของตัวมันเองอยู่แล้วแหละ เพียงแต่ว่าเราอาจจะชอบหนังอีก 2-3 เรื่องมากกว่า ด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่สะเทือนใจเราได้อย่างรุนแรงกว่าเท่านั้นเอง

No comments: