Wednesday, August 12, 2015

RED WINE IN THE DARK NIGHT (2015, Tanwarin Sukkhapisit, A+25)


RED WINE IN THE DARK NIGHT คืนนั้น (2015, Tanwarin Sukkhapisit, A+25)

--รู้สึกว่าเป็นหนังเกย์ที่น่าจดจำมากๆ คือในช่วง 2-3 ปีมานี้มีหนังเกย์ของไทยออกมาหลายเรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าหากผู้กำกับไม่เก่งจริง หรือไม่มีไอเดียที่เปรี้ยงพอ ก็มีโอกาสสูงมากที่หนังเกย์เรื่องนั้นจะถูกหลงลืมได้ง่ายเมื่อเวลาผ่านไป แต่เราว่าหนังเรื่องนี้คงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราไม่ลืมง่ายๆ เพราะไอเดียมันน่าสนใจดี

--แต่ไอเดียของมันก็ยากพอสมควรนะ คือในช่วงต้นเรื่อง เราก็เดาไม่ถูกว่าหนังมันจะเลือกเดินไปทางไหน เพราะเหมือนหนังมีทางเลือกให้เดินเยอะมาก และแต่ละทางก็ยากๆทั้งนั้น คือพอตัวละครไวน์เจอกับไนท์แล้ว และพบว่าไนท์อาจจะเป็นแวมไพร์ หนังก็เหมือนมีทางเลือกให้เดินหลายทาง อย่างเช่น

1.จะเลือกไปทางหนังเน้นพล็อต แอคชั่น ทริลเลอร์ ลุ้นระทึกแบบ TWILIGHT หรือ UNDERWORLD

2.จะเลือกไปทางหนัง softcore เน้นฉากเอากัน ซึ่งช่วงต้นเรื่องก็มีฉากทำนองนี้อยู่เยอะ และตอบสนองความต้องการของผู้ชมอย่างเราได้ดีพอสมควร

3.จะเลือกไปทางหนังการเมือง แบบหนังซอมบี้เรื่อง OTTO OR UP WITH DEAD PEOPLE (2008, Bruce La Bruce)

4.จะเลือกไปทางหนังปรัชญา/แวมไพร์ แบบหนังเรื่อง A NOCTURNE (2007, Bill Mousoulis, Australia)

5.จะเลือกไปทางหนังพิศวงงงงวย แบบ TROUBLE EVERY DAY (2001, Claire Denis) ที่เป็นเรื่องของคนที่กินเนื้อคน

ซึ่งเราว่าทางเลือกที่ 3,4 กับ 5 เป็นทางเลือกที่ยากมาก ส่วนทางเลือกที่ 1 กับ 2 นั้น ถ้าทำออกมาไม่ดีพอ หนังมันก็อาจจะกลายเป็นหนังชั้นต่ำได้โดยง่าย

--แต่ปรากฏว่าในที่สุดแล้ว RED WINE IN THE DARK NIGHT ก็เลือกที่จะเป็นหนังที่เน้นความรักโรแมนติก และตัวละครก็ออกมาเป็นมนุษย์มากกว่าทางเลือก 5 ทางข้างต้น ซึ่งก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดี และหนังก็ประคองตัวเองไปได้ดีเรื่อยๆจนจบ

--อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ชอบหนังถึงระดับ A+30 นะ เพราะเรารู้สึกว่าหนังมันยังไม่พีคในแง่การทำให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกอินสุดๆกับ “ความรักที่ไวน์มีให้กับไนท์" น่ะ

คือพอหนังเลือกที่จะเน้นไปในทางรักโรแมนติก และนำเสนอความรักประเภทที่ทำให้คนนึงยอมพลีกายถวายชีวิตเพื่อชายหนุ่มที่ตัวเองหลงรักแล้ว เราก็รู้สึกว่า หนังมันจะประสบความสำเร็จเมื่อคนดูรู้สึกเข้าใจตัวละครตัวนั้นมากๆ หรืออินกับตัวละครตัวนั้นมากๆน่ะ

คือเราว่าหนังในกลุ่มนี้ที่ประสบความสำเร็จสำหรับเราจริงๆก็มีเช่นเรื่อง RIGHT NOW (2004, Benoît Jacquot), HATSUKOI (2006, Yukinari Hanawa) และ PAINTED SKIN (2008, Gordon Chan) และเราว่าหนัง 3 เรื่องนี้นำมาเปรียบเทียบกับ RED WINE IN THE DARK NIGHT ได้เพราะมันมีบางจุดคล้ายๆกัน คือนางเอกของ RIGHT NOW กับ HATSUKOI นั้น เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้มีความโน้มเอียงที่จะเป็นอาชญากรโดยกำเนิดน่ะ แต่เธอดันไปหลงรักอาชญากรหนุ่มหล่อแบบหัวปักหัวปำ เธอก็เลยหันมาช่วยเหลือเขาในการประกอบอาชญากรรม และพลีกายถวายชีวิตให้กับอาชญากรหนุ่มหล่อที่เธอหลงรัก ซึ่งจุดนี้ในหนังสองเรื่องนี้จะทำให้เรานึกถึงตัวละครไวน์ที่ยอมลงทุนประกอบอาชญากรรมเพื่อชายที่ตัวเองหลงรักเช่นกัน ทั้งที่จริงๆแล้วไวน์ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่จะประกอบอาชญากรรมด้วยตนเอง ถ้าหากเขาไม่ได้เกิดหลงรักไนท์ขึ้นมา

ส่วน PAINTED SKIN นั้น มันเป็นเรื่องราวความรักระหว่างนางปีศาจจิ้งจอกที่กินคนกับมนุษย์หนุ่มหล่อน่ะ คือมันมีความเป็นแฟนตาซีเหมือน RED WINE IN THE DARK NIGHT อย่างไรก็ดี สิ่งที่หนังเรื่อง RIGHT NOW, HATSUKOI (2006) กับ PAINTED SKIN ทำสำเร็จก็คือ มันทำให้เรารู้สึกถึงความรักของนางเอกได้อย่างรุนแรงมากๆๆๆๆ คือเรารู้สึกอินสุดๆกับความรักของนางเอกหนัง 3 เรื่องนี้ และเข้าใจจริงๆว่าทำไมพวกเธอถึงทุ่มกายถวายชีวิตให้กับผู้ชายที่ตัวเองรัก แม้จะต้องลำบากมากแค่ไหนก็ตาม

แต่ RED WINE IN THE DARK NIGHT เหมือนทำให้เราเข้าใจความรักที่ไวน์มีให้กับไนท์ได้ใน “ระดับนึง” น่ะ แต่ยังไม่ลึกถึงขีดสุดหรือรุนแรงถึงขีดสุดเหมือนในหนัง 3 เรื่องที่เรายกมาข้างต้น เราก็เลยชอบ RED WINE IN THE DARK NIGHT แค่ในระดับ A+25 เท่านั้น แต่ยังไม่ถึงขั้น A+30

แต่เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่า หนังเรื่องนี้ควรทำอย่างไรถึงจะทำให้เราอินกับความรักของไวน์ได้อย่างรุนแรงกว่านี้ คือมันอาจจะมีต้องอีกสักฉากหรืออีกสักสถานการณ์นึงในช่วงต้นหรือกลางเรื่องที่จะทำให้เราเข้าถึงความรักของคนคู่นี้ได้มากยิ่งขึ้นน่ะ

หรือบางทีอาจจะเป็นที่การแสดงของน้องฟลุค พงศธร ศรีปินตาด้วยก็ได้นะ คือตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราก็รู้สึกว่าน้องฟลุคเล่นได้ดีมากๆแล้วล่ะ แต่พอเราได้อ่านความเห็นของเพื่อนบางคน ที่บอกว่าน้องฟลุคยังเล่นได้ไม่ดีพอ เราก็เลยมานั่งย้อนคิดกลับไป และทำให้ตั้งข้อสงสัยว่า หรือว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือน้องฟลุคหรือผู้กำกับอาจจะเน้นให้น้องฟลุค”ทำหน้าตาน่ารัก” มากเกินไปหรือเปล่า คือมันมีหลายฉากในหนังเรื่องนี้ที่น้องฟลุค “ทำหน้าตาน่ารัก” มากๆ แต่ไอ้การทำหน้าตาน่ารักนี่ มันไปขัดขวาง “การแสดงอารมณ์แบบมนุษย์จริงๆ” มากเกินไปหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

คือที่ตั้งข้อสงสัยแบบนี้ เพราะเราว่าการที่เราอินกับ RIGHT NOW และ PAINTED SKIN มากๆน่ะ มันเป็นเพราะว่า นางเอกหนังสองเรื่องนี้ ซึ่งได้แก่ Isild Le Besco ใน RIGHT NOW กับ Zhou Xun และ Zhao Wei ใน PAINTED SKIN มันแสดงได้แบบสุดตีนมากๆ คือการแสดงของนางเอกมันมีส่วนมากๆเหมือนกันในการที่จะทำให้เราอินกับ “ความรักของตัวละคร”

--อีกจุดนึงที่ชอบมากใน RED WINE IN THE DARK NIGHT ก็คือการใช้โลเกชั่นเป็นตึกร้างน่ะ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว เราชอบตึกร้างอะไรแบบนี้อยู่แล้ว และหนังเรื่องนี้ก็ใช้โลเกชั่นตึกร้างได้ดีสุดๆ หรือดีกว่าหนังไทยหลายๆเรื่องที่ใช้โลเกชั่นคล้ายๆกัน

คือการใช้โลเกชั่นตึกร้างแบบนี้ ส่วนใหญ่เรามักจะเจอในหนังสั้นแนวแอคชั่นของไทย ซึ่งจะใช้โลเกชั่นนี้เป็นสถานที่ที่ตัวละครซื้อขายยาเสพติด หรือจับตัวประกัน เสร็จแล้วก็มีการยิงกัน บู๊กัน ซึ่งจะแตกต่างจากหนังโรงของไทยที่เหตุการณ์ดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นใน “โกดังโรงงาน” แทน ซึ่งเราเดาว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะผู้กำกับหนังสั้นของไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาลัย ไม่มีตังค์เช่าโกดังโรงงานน่ะ พวกเขาก็เลยใช้โลเกชั่นเป็นตึกร้างแทน

คือการใช้โลเกชั่นตึกร้างแบบทรงประสิทธิภาพจริงๆ โดยเฉพาะในด้านบรรยากาศของมัน เราจะเจอในหนังไทยแค่ไม่กี่เรื่องน่ะ อย่างเช่นเรื่อง

1.GHOSTTRANSMISSIONS (2005, Building Transmission)
2.RED RHAPSODY ภาพสุดท้าย (2010, Siwakorn tesabumrung)
3.กระสือ (2014, Jakkrapa Sriwichai)
4.THE EYES DIARY (2015, Chookiat Sakveerakul)
5.เดี่ยว (2015, วุฒิชัย พูลสวัสดิ์, A+25)

เราก็เลยพอใจมากที่ RED WINE IN THE DARK NIGHT นำโลเกชั่นตึกร้างมาใช้ได้อย่างทรงพลังมากๆเมื่อเทียบกับหนังไทยโดยทั่วไปจ้ะ

--สรุปว่า RED WINE IN THE DARK NIGHT เป็นหนังเกย์ที่มีอะไรน่าจดจำมากๆสำหรับเรา ทั้งในแง่ไอเดีย, การตอบสนอง sexual fantasy ของผู้ชมในช่วงต้นเรื่อง และการพยายามจะเน้นความรักโรแมนติกในช่วงครึ่งหลัง แต่เราว่าหนังยังไม่สามารถทำให้เราอินสุดๆกับความรักของตัวละครได้น่ะ หนังมันก็เลยไปไม่ถึงขั้นที่จะเทียบได้กับ RIGHT NOW (2004, Benoît Jacquot)

อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่า Tanwarin สามารถทำหนังที่ทำให้เราอินกับความรักความเจ็บปวดของตัวละครได้อย่างสุดๆนะ เพราะผู้กำกับคนนี้เคยทำสำเร็จอย่างงดงามมากๆมาแล้วในหนังเรื่อง UNDISCOVERED HEART รักไร้ราก (2007) เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้ยังไม่สามารถ “แทงทะลุใจเรา” ได้เท่าหนังเรื่อง UNDISCOVERED HEART จ้ะ





No comments: