Tuesday, December 29, 2015

DEAR ANGEL (2015, Ninart Boonpothong, stage play, A+/A)

DEAR ANGEL (2015, Ninart Boonpothong, stage play, A+/A)

“Gabriel before me
Raphael behind me
Michael to my right
Uriel on my left side
In the circle of fire
(จากเนื้อเพลง LILY ของ Kate Bush)

1.ถึงแม้เราจะชอบแค่ในระดับ A+/A แต่จริงๆแล้วเราก็พอใจกับมันมากเลยนะ เมื่อคำนึงถึงเงื่อนไขต่างๆของละครเวทีเรื่องนี้น่ะ คือละครเวทีเรื่องนี้แสดงโดยเด็กมัธยมราว 15-18 คน ที่ต่างก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่สำหรับเรา เพราะฉะนั้นเราย่อมไม่คาดหวังการแสดงที่ยอดเยี่ยม, ลึกซึ้ง, ทรงพลังจากนักแสดงกลุ่มนี้อยู่แล้ว แต่เราคิดว่ามันเหมือนกับการไปดูละครเวทีในงานปีใหม่ของโรงเรียนมัธยมสักแห่งอะไรแบบนั้นมากกว่า ซึ่งแค่เด็กมัธยมเหล่านี้จำบทได้ และเล่นกับมันอย่างจริงจัง มีความตั้งใจจริงกับมัน แค่นี้ก็น่าชื่นชมมากๆแล้ว

2.สิ่งที่ชอบที่สุดในละครเวทีเรื่องนี้ก็คือไอเดียสร้างสรรค์หรือไอเดียแปลกใหม่บางอย่างในบทละครเรื่องนี้น่ะ คือดูแล้วก็ทึ่งจริงๆว่านินาทคิดไอเดียสร้างสรรค์อะไรออกมาได้เสมอๆ ปีละหลายๆเรื่อง และไอเดียในละครเวทีเรื่องนี้ก็น่าสนใจมาก ที่เป็นการเอาความเชื่อเรื่องเทวดาของคริสต์กับเรื่องราวการเต้นรำของเด็กหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันมาผูกโยงเข้าด้วยกัน

เราชอบไอเดียเรื่องเทวดาฝ่ายดี 4 องค์ที่ต่างก็มีบทบาทเป็นของตัวเองในละครเรื่องนี้มากๆ คือเราไม่มีความรู้เรื่องคริสต์อะไรแบบนี้มาก่อน และเคยเห็นตัวละครเทวดาแบบนี้ก็จากละครทีวีชุด THE X-FILES ตอนนึง กับในภาพยนตร์อย่าง WINGS OF DESIRE (1987, Wim Wenders), FAR AWAY, SO CLOSE (1993, Wim Wenders), THE LINE, THE CROSS & THE CURVE (1993, Kate Bush), CONSTANTINE (2005, Francis Lawrence) และ LEGION (2010, Scott Stewart) เท่านั้น คือเหมือนกับว่าหนังฝรั่งเองก็แทบไม่เคยหยิบเอาเทวดาพวกนี้มาพูดถึงเท่าไหร่ การที่ละครเวทีเรื่องนี้เอาเทวดากลุ่มนี้มาทำเป็นตัวละครอย่างจริงจังก็เลยเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรา

สิ่งที่เราชอบมากก็คือการที่เทวดาฝ่ายดีมีถึง 4 องค์น่ะ แทนที่จะเป็นองค์เดียว คือมันมีหนังสั้นและโฆษณาจำนวนมากที่มักพูดถึงเรื่อง “ความดี-ความชั่ว” ในใจคนเราแต่ละคน โดยนำเสนอมันออกมาในรูปของ “เทวดา” หนึ่งองค์กับปีศาจหนึ่งองค์ที่มาคอยกระซิบข้างหูเรา และเราต้องเลือกว่าจะเชื่อเทวดาหรือปีศาจในใจเรา อะไรทำนองนี้ ซึ่งถ้าหากละครเวทีเรื่องนี้ทำออกมาแบบนี้ มันจะน่าเบื่อสุดๆ และมันจะเป็นละครเวทีสั่งสอนศีลธรรมสำหรับเด็กปัญญาอ่อนไปเลย แต่พอละครเวทีเรื่องนี้นำเสนอภาพกลุ่มเทวดาที่ซับซ้อนมากๆ และไม่ได้นำเสนอประเด็นดี-ชั่วแบบปัญญาอ่อน  (การนำเสนอประเด็นดี-ชั่วอย่างปัญญาอ่อน ก็คือการให้ตัวละครต้องเลือกว่าจะเสพยาเสพติดดีหรือไม่ หรือตัวละครต้องเลือกว่าจะตามเพื่อนๆไปตีรันฟันแทงหรือไม่ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ผู้ชมรู้ดีอยู่แล้วว่า อะไรผิด อะไรถูก และตัดสินใจเลือกได้เองอยู่แล้วโดยละครไม่ต้องมาคอยว่ากล่าวสั่งสอน)  ละครเวทีเรื่องนี้ก็เลยมีบทที่น่าสนใจมากๆ

การที่เรายกเนื้อเพลงท่อนนึงของ Kate Bush มาแปะไว้ข้างต้นก็เป็นอีกปัจจัยนึงที่ทำให้เราชอบละครเรื่องนี้นะ คือเพลง LILY นี่เป็นเพลงนึงที่อยู่ในหนังเพลงเรื่อง THE LINE, THE CROSS & THE CURVE ซึ่งมีฉากที่ตัวละครต้องเข้าไปในโลกแห่งเวทมนตร์ แล้วเธอก็เลยต้องอาราธนาเทวดา 4 องค์นี้ให้มาคอยคุ้มครองเธอขณะเข้าไปในโลกแห่งเวทมนตร์น่ะ แต่เทวดา 4 องค์นี้ก็แทบไม่มีความแตกต่างจากกันเลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือทั้ง 4 องค์นี้มีหน้าที่เพียงแค่มาคอยห้อมล้อมตัวละครนางเอกเท่านั้น และเวลาที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราก็แอบคิดว่า อยากให้มีหนังที่นำเสนอความแตกต่างของเทวดา 4 องค์นี้บ้างจัง แต่ปรากฏว่าไม่มีหนังเรื่องไหนเลยที่ทำแบบที่เราจินตนาการ จนกระทั่งมาถึงละครเวทีเรื่องนี้นั่นแหละ

อีกสิ่งที่ชอบสุดๆก็คือว่า นินาทเลือกที่จะให้เด็กๆกลุ่มนี้เล่นละครในบทละครที่แปลกใหม่แบบนี้น่ะ แทนที่จะให้เล่นบท ROMEO & JULIET หรือ PETER PAN แบบที่ชอบให้เด็กๆเล่นกัน คือตอนที่เราดูละครเวที ROMEO & JULIET และ PETER PAN ที่ให้เด็กๆเล่นกันนั้น เรารู้สึกเบื่อมากพอสมควรน่ะ เพราะเด็กๆมันเล่นกันได้ไม่ทรงพลังอยู่แล้ว แถมเนื้อเรื่องยังซ้ำซากน่าเบื่ออีก เพราะฉะนั้นมันก็เลยน่าเบื่อเป็นสองเท่า

แต่พอเอาเด็กมัธยมมาเล่นละครเวทีที่มีเนื้อหาแปลกใหม่แบบนี้ มันก็เลยไม่น่าเบื่อ เพราะถึงแม้เด็กๆบางคนจะเล่นได้ไม่ทรงพลัง เนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ก็สามารถดึงดูดความสนใจของเราไปได้เรื่อยๆ

3.อย่างที่เราเขียนไว้ข้างต้นว่า เราชอบการที่เทวดาฝ่ายดีฝ่ายชั่วไม่ได้มาชี้นำตัวละครให้เลือกทางเดินชีวิตแบบที่ผู้ชมส่วนใหญ่รู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรผิด อะไรถูกน่ะ คือเราชอบที่เทวดาฝ่ายชั่วเหมือนพยายามทำให้ตัวละครแต่ละตัวควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้ แล้วระเบิดมันออกมาอย่างรุนแรง อะไรทำนองนี้ เพราะเราคิดว่านั่นคือปัญหาที่เราเป็นอยู่ทุกวัน คือในแต่ละวันเราไม่ได้เผชิญกับทางเลือกที่ว่า เราจะเสพยาเสพติดดีหรือไม่ หรือเราจะลักขโมยของดีหรือไม่ แต่ในชีวิตประจำวันนั้น ความยากลำบากที่เราต้องเผชิญก็คือ เราจะระงับอารมณ์โกรธได้หรือไม่ เมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่สร้างความไม่พอใจให้กับเรา

คือเราเป็นคนที่มีจุดอ่อนเรื่องนี้อย่างมากๆ คือถ้าหากเราเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สร้างความไม่พอใจให้กับเรา มันก็จะมีบางครั้งที่เราระงับอารมณ์โกรธไม่ได้ แล้วระเบิดมันออกไปอย่างรุนแรงในทันที เราก็เลยชอบมากที่ละครเวทีเรื่องนี้นำเอาประเด็นเรื่อง “เทวดา VS. ปีศาจ” ในใจคนมานำเสนอในแง่นี้ มันทำให้ประเด็นในละครเป็นประเด็นที่ใกล้เคียงกับปัญหาในชีวิตประจำวันของเรา และทำให้เรารู้สึกว่าละครเรื่องนี้ให้แง่คิดดีๆที่นำไปสู่การพัฒนาตัวเองได้ในชีวิตจริงด้วย

4.ฉากที่เราชอบที่สุดในละครเรื่องนี้ คือฉากที่ dancers ชายสองคน ปรับความเข้าใจกัน แล้วตัดสินใจว่าจะลองเปลี่ยนคู่เต้นดูน่ะ เราว่าฉากนี้นำเสนอทัศนคติที่เข้าทางเรามากที่สุดน่ะ เราชอบที่ตัวละครสองคนนี้ “ไม่ยึดติด” กับอะไรเดิมๆมากเกินไป หรือไม่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง การที่ตัวละครสองคนนี้สามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ถูกต้องในฉากนี้ ก็เลยเป็นอะไรที่ประทับใจเรามาก

5.ตัวละคร “ดาว” (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) นี่เป็นตัวละครที่ช่วยสร้างความครื้นเครงให้กับเรามากๆ คือเรา identify กับตัวเธอในฉากแรกๆในทันที เพราะเธอพยายามตามจีบหนุ่มหล่ออย่างสุดฤทธิ์ คือสิ่งใดก็ตามที่เราอยากทำในชีวิตจริง แต่ไม่กล้าทำ (การตามจีบหนุ่มหล่อ) ตัวละครตัวนี้สามารถทำแทนเราได้

แต่เราก็ไม่ได้ identify กับการหึงหวงของดาวในฉากต่อมานะ แต่เราว่าการที่ตัวละครตัวนี้ทำตัวปากอย่างใจอย่าง มันทำให้ตัวละครตัวนี้ดูมีมิติที่น่าสนใจขึ้นมามากๆ คือเธอรับปากว่าจะทำตัวเป็นสะพานให้หนุ่มหล่อได้รู้จักกับ dancer คนนึง แต่จริงๆแล้วเธออยากเขมือบหนุ่มหล่อไปกินซะเอง คือตัวละครตัวนี้ปรากฏตัวเพียงแค่ไม่กี่นาที แต่ก็สามารถสร้างสีสันและสร้างความซับซ้อนให้กับตัวเองได้อย่างน่าสนใจมาก

6.แต่ถึงแม้ละครเวทีเรื่องนี้จะมี “ไอเดีย” ที่เราชอบมากๆ เราก็ชอบละครโดยรวมๆแค่ในระดับ A+/A นะ เพราะ

6.1 นักแสดงบางคนยังไม่ “ทรงพลัง” น่ะ แต่อันนี้เป็นจุดอ่อนที่เข้าใจได้ เพราะนักแสดงเป็นแค่เด็กมัธยมหน้าใหม่เท่านั้น

แต่เราว่าคนที่เล่นเป็นลูซิเฟอร์เล่นได้ดีมากเลยนะ เราว่า cast ถูกต้องแล้วล่ะที่เอาคนนี้มารับบทเป็นลูซิเฟอร์ ซึ่งเป็นบทที่ต้องอาศัย “ออร่า” ทางการแสดงบางอย่างด้วย คือถ้านักแสดงเล่นบทนี้ได้ไม่ดี ออร่ามันจะไม่ออกน่ะ แต่เราว่าเด็กคนนี้เล่นได้ดีมาก

6.2 เราว่าเนื้อเรื่องโดยรวมๆก็อาจจะไม่เข้าทางเรามากนักนะ แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นน่ะ เพราะเราว่าบทละครเรื่องนี้อาจจะเขียนขึ้นเพื่อให้เด็กมัธยมกลุ่มนี้เล่นกันน่ะ เพราะฉะนั้นเนื้อหาของละครเวทีเรื่องนี้ จึงไม่เน้นการสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งของตัวละคร เพราะผู้เขียนบทรู้ดีว่า นักแสดงเล่นอะไรพวกนี้ไม่ได้หรอก นักแสดงกลุ่มนี้เต้นได้ดี จำบทได้ดี หรือสามารถแสดงออกทางร่างกายแบบ expressive ได้ แต่จะให้นักแสดงเด็กๆอายุน้อยแบบนี้แสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อน ลึกซึ้ง อะไรแบบนี้คงไม่ได้แน่ๆ เพราะฉะนั้นบทละครเรื่องนี้ก็เลยขาดมิติแบบนั้นไป และก็เลยทำให้มันไม่ใช่เนื้อเรื่องแบบที่เข้าทางเรามากนัก

แต่ถ้าให้นักแสดงที่มีฝีมือมาเล่น แล้วทำเป็นภาพยนตร์ มันก็สามารถขยี้อารมณ์ให้ “ซึ้ง” ได้ในหลายๆจุดนะ ทั้งเรื่อง dancers สลับคู่กัน, ความเงี่ยนของดาวที่มีต่อหนุ่มหล่อ, ความรักระหว่างราฟาเอลกับเด็กหนุ่ม, การที่ยูเรียลต้องทำใจที่คนรักอาจจะไปมีรักใหม่ เราว่าจุดต่างๆเหล่านี้ ถ้าเอามาพัฒนาดีๆ มันจะกลายเป็นอะไรที่ซึ้งมากๆเลย

6.3 เราว่าละครเวทีเรื่องนี้พยายามตั้งระบบจักรวาลขึ้นมาใหม่นะ คือระบบจักรวาลที่มีเทวดาหลายองค์ประจำเขตต่างๆ แล้วก็มีเรื่องตบตีกัน แถมเทวดายังเหมือนใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานด้วย

คือเราว่าไอเดียอะไรพวกนี้มันน่าสนใจมากๆ คือมันเป็นการสร้างโลกจินตนาการขึ้นมาใหม่เลย แล้วตั้งกฎเกณฑ์แปลกใหม่ให้กับโลกจินตนาการนั้นเลย แต่พอละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครเวทีทุนต่ำ เราก็เลยงงๆ และจินตนาการจักรวาลใหม่ตามละครได้ไม่ทัน หรือตามได้ลำบากอยู่บ้างนิดนึงน่ะ


คือมันเป็นปัญหาส่วนตัวที่เรามีกับละครเวทีเรื่องอื่นๆของนินาทตามที่เราเคยเขียนมาแล้วหลายครั้งนั่นแหละ นั่นคือหลายๆครั้งที่เราดูละครเวทีของนินาท เราจะรู้สึกมากๆว่า มันควรจะได้รับการดัดแปลงให้เป็นภาพยนตร์ เพราะบทพวกนี้มันมี “ศักยภาพ” ที่จะกลายเป็นภาพยนตร์ที่ดีมากๆได้ แต่พอมันเป็นละครเวทีทุนต่ำที่แทบไม่มีการเซ็ทฉากอะไรเลยแบบนี้ มันก็เลยเหมือนกับว่า “ศักยภาพ” ที่แท้จริงของบทละครนี้ ยังไม่ถูกใช้อย่างเต็มที่น่ะ

No comments: