Tuesday, December 22, 2015

UNDER THE LANTERN (1928, Gerhard Lamprecht, Germany, A+30)

UNDER THE LANTERN (1928, Gerhard Lamprecht, Germany, A+30)

--เป็นหนังเรื่องที่ 4 ของ Gerhard Lamprecht ที่เราได้ดู และเราก็พบว่าเขาเป็น humanist มากๆจริงๆ ตัวละครในหนังทั้ง 4 เรื่องของเขาที่เราได้ดู ต่างก็เป็นคนทุกข์คนยากที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคชีวิต โดยเฉพาะความจน และหนังก็ทอดสายตามองคนจนเหล่านี้ด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างเต็มที่ โดยในเรื่องนี้หนังเล่าเรื่องของหญิงสาวที่ถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน เธอก็เลยไปอยู่กับแฟนหนุ่ม และช่วยแฟนหนุ่มทำงานแสดงในบาร์ แต่ต่อมาผู้จัดการโรงละครในบาร์พยายามจะหลอกฟันเธอ และแฟนหนุ่มก็เข้าใจผิดว่าเธอเต็มใจจะมีเซ็กส์กับผู้จัดการโรงละครด้วย เธอก็เลยถูกแฟนทิ้ง และไม่เหลือใครเลย เธอไม่สามารถกลับไปหาพ่อใจร้ายได้ และไม่สามารถกลับไปหาแฟนได้ เธอตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย ด้วยการกระโดดให้รถรางทับ แต่โสเภณีนางหนึ่งช่วยเธอไว้ และพาเธอกลับไปนอนพักที่ห้อง อย่างไรก็ดี ผัวของโสเภณีนางนั้นพยายามจะปลุกปล้ำเธอ โสเภณีนางนั้นก็เลยไล่เธอออกไป เธอระเหเร่ร่อนจนมาเจอหญิงตาบอดคนนึงกับเด็กหญิงตัวน้อยๆร้องเพลงขอทานอยู่ข้างถนน หญิงตาบอดคนนั้นเป่าขลุ่ย ส่วนเด็กหญิงคนนั้นร้องเพลงว่า Avoid Sorrow and Avoid Pain. And Life Will Be Fun (ซึ่งเป็นเพลงที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้เป็นระยะๆ ตั้งแต่ต้นเรื่อง) พอนางเอกได้ยินเพลงนี้ เธอก็หัวเราะเยาะหยันให้กับชีวิตตัวเอง และตัดสินใจเป็นกะหรี่

ที่เล่ามานี่แค่ครึ่งเรื่องแรกนะคะ จริงๆแล้วหนังมีรายละเอียดอีกเยอะ และครึ่งเรื่องหลังนางเอกก็เจอเคราะห์กรรมกระหน่ำอย่างรุนแรงไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าช่วงครึ่งแรกเลยค่ะ คือตอนก่อนเราดูหนังเรื่องนี้ เราจินตนาการเล่นๆว่า มันน่าจะฉายควบกับแหวนทองเหลือง (1973, Prince Anusorn Mongkolkarn, A+30) แต่พอได้ดูหนังเรื่องนี้เข้าจริงๆ เราก็พบว่ามันเหมาะกับ “แหวนทองเหลือง” จริงๆ แต่ชีวิตนางเอกของ UNDER THE LANTERN นี่เหมือนกับ “แหวนทองเหลือง” แค่ครึ่งเรื่องแรกเท่านั้น เพราะในขณะที่นางเอกของ “แหวนทองเหลือง” เจออะไรดีๆในช่วงกลางเรื่อง นางเอกของ UNDER THE LANTERN กลับไม่เจออะไรดีๆแบบนั้นเลย ชีวิตเธอมีแต่ความชิบหายของจริง

--แต่ถึงแม้เราจะชอบความ humanist ของ Gerhard Lamprecht แต่เราก็ไม่แน่ใจนะว่าความ humanist ของเขามันมากเกินไปจนมันไปลดทอนพลังของหนังหรือเปล่า คือเราว่าหนัง 4 เรื่องของเขาที่เราได้ดู (รวมถึง SLUMS OF BERLIN, FOLKS UPSTAIRS และ CHILDREN OF NO IMPORTANCE) มันขาด “ความสะเทือนใจอย่างรุนแรง” บางอย่างน่ะ  ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขานำเสนอตัวละครเอกที่เป็น “คนดี” มากเกินไปหรือเปล่า หรือบางทีการที่หนังของเขาไม่ตราตรึงใจเราอย่างรุนแรง อาจจะเป็นเพียงเพราะว่าเขาขาดพรสวรรค์ด้านการกำกับภาพ หรือด้านการคิดบทคิดซีนที่มันตราตรึงใจอย่างรุนแรงก็ได้ คือเขาคิดเนื้อเรื่องมาดีแล้วแหละ เนื้อเรื่องในหนังของเขามันเป็นเรื่องของตัวละครที่เจอชีวิตบัดซบอย่างรุนแรงไม่หยุดหย่อน แต่เหมือนเขายังไม่สามารถดึงพลังจากเนื้อเรื่องหรือโครงเรื่องที่ดีมากออกมาได้อย่างเต็มที่น่ะ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะปัจจัยหลายๆประการ ซึ่งรวมถึงการที่ตัวละครเอกเป็นคนดีมากเกินไป, หนังขาดซีนที่ให้ความรู้สึกรุนแรงจริงๆ และหนังขาดการถ่ายภาพที่ทรงพลังจริงๆ

คือเราชอบ UNDER THE LANTERN มากนะ และหนังก็มีฉากที่สะเทือนใจเรามากๆ (อย่างเช่นฉากที่นางเอกเจอหญิงขอทาน แล้วเลยตัดสินใจเป็นกะหรี่) และมีฉากที่แสดงให้เห็นถึงไอเดียที่ดีมากๆ (อย่างเช่นช่วงนึงของหนังที่เป็นการถ่ายแต่ “วัตถุ” เป็นเวลา 5-10 นาที โดยที่เราแทบไม่เห็นตัวละครเลย) แต่เราก็พบว่า มันไม่ “ทรงพลัง” เท่ากับหนังชีวิตสาวรันทดยุคเก่าอย่าง THE JOYLESS STREET (1925, G. W. Pabst, A+30), DIARY OF A LOST GIRL (1929, G. W. Pabst, A+30) และ NIGHTS OF CABIRIA (1957, Federico Fellini) น่ะ คืออย่างใน NIGHTS OF CABIRIA มันมีบางฉากที่เรารู้สึกว่ามัน magic มากๆ (อย่างเช่นฉากกะหรี่เข้าโบสถ์) และนั่นคงต้องยกความดีความชอบให้กับพรสวรรค์ของ Fellini เพราะเขาสามารถสร้างฉากแบบนี้ได้ในหนังทุกเรื่องของเขา ส่วนใน DIARY OF A LOST GIRL กับ THE JOYLESS STREET นั้น เรารู้สึกว่า Pabst สร้างตัวละครหญิงที่ “น่าสนใจ” สุดๆและทำให้เรามีอารมณ์ร่วมกับตัวละครเหล่านี้ได้มากกว่าตัวละครหญิงในหนังของ Lamprecth น่ะ คือเรารู้สึกว่าตัวละครหญิงและตัวละครหลักในหนังของ Lamprecht มันดูขาด “ความพิเศษ” บางอย่างยังไงไม่รู้ มันดูเป็นคนดี+คนธรรมดาที่ปล่อยให้อุปสรรคในชีวิตเข้ามากระแทกไปเรื่อยๆ และก็พยายามสู้ทนกับมันต่อไป ทำดีต่อไป แต่มันขาด “ความพิเศษ” ทางสภาพจิตใจบางอย่างที่จะทำให้คนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาหรือตัวละครธรรมดาน่ะ ซึ่งตัวละครหญิงในหนังของ Pabst จะไม่ใช่อย่างนั้น โดยเฉพาะใน THE THREEPENNY OPERA (1931, G. W. Pabst, A+30) ที่เต็มไปด้วยตัวละครหญิงที่มีอิทธิฤทธิ์สูง ส่วนใน THE JOYLESS STREET นั้น หนังมีตัวละครหญิงเด่นๆที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ตัวละครหญิงฝ่ายดี” ถึง 4 คน แต่ Pabst ก็สามารถทำให้ตัวละครหญิงฝ่ายดี 4 คนนี้ มีคุณลักษณะพิเศษที่น่าจดจำมากๆทั้ง 4 คนเลย โดยตัวละครที่แสดงโดย Greta Garbo อาจจะถือเป็นตัวละครหญิงที่ “ดีงามตามขนบ” มากที่สุด แต่เธอก็โดดเด่นด้วยความสวยของเธอ แต่ตัวละครหญิงอีก 3 คนที่เหลือนั้น มีทั้งตัวละครที่ “ฆ่าคนเพราะความรัก” ในขณะที่อีกคนนึงก็ “ฆ่าคนเพราะความหิว” และอีกคนนึงก็ “สนับสนุนให้ผู้ชายหนุ่มหล่อไปขายตัว” คืออะไรแบบนี้นี่แหละ ที่มันทำให้ตัวละครหญิงในหนังของ Pabst มันมีเสน่ห์สุดๆสำหรับเรา แต่หนังของ Lamprecht ขาดจุดนี้ไป


สรุปว่า เราชอบ Gerhard Lamprecht มากๆในระดับนึง เราว่าเขาเป็นผู้กำกับที่ humanist ดี และมีฝีมือการกำกับมากในระดับนึง แต่เขาขาดพรสวรรค์บางอย่างที่จะทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับขั้นเทพที่สามารถสร้างผลงานที่มันอมตะนิรันดร์กาลจริงๆได้ 

No comments: