Wednesday, January 01, 2020

LIFE IN 2019


สรุปชีวิตปี 2019

1.ดีใจที่รอดชีวิตมาได้อีกหนึ่งปี ทุกข์ที่ใหญ่ที่สุดของเราในปี 2019 ก็คืออาการ “จอประสาทตาฉีกขาด” นี่แหละ ซึ่งเราเริ่มเป็นในปี 2019 และในระหว่างปี เราก็พบว่า จอประสาทตาเราฉีกขาดถึง 4 จุดด้วยกัน แต่โชคยังดีที่หมอตรวจเจอทันเวลา ก็เลยยิง laser รักษาจุดที่ฉีกขาดทั้ง 4 จุดนี้ได้

ถ้าหากหมอตรวจเจอไม่ทันเวลา จอประสาทตาของเราก็อาจจะหลุดลอกได้ และนั่นจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่อย่างรุนแรงตามมา เพราะถ้าหากจอประสาทตาหลุดลอก เราก็ต้องผ่าตัดตา และต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากๆ แต่ถ้าหากเราแค่จอประสาทตาฉีกขาด เราก็ยิง laser รักษาได้ แล้วก็ใช้สายตาได้ตามปกติ

เพราะฉะนั้นตั้งแต่เดือนก.พ.เป็นต้นมา หลังจากเราเจอจอประสาทตาฉีกขาดจุดแรก เราก็เลยใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกังวลมาโดยตลอด พอเราเห็นอะไรผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย เราก็ต้องรีบวิ่งแจ้นไปหาหมอ เพื่อให้ขยายม่านตา  ตรวจดูจอประสาทตา แล้วพอขยายม่านตาแล้ว เราก็จะทำงาน/ดูหนัง อะไรพวกนี้ไม่ได้ไป 6 ชั่วโมง

มีบางสัปดาห์ที่เราไปหาจักษุแพทย์เพื่อขยายม่านตา+ตรวจตา ถึง 3-4 ครั้งด้วยกัน เพราะเราเห็นอะไรผิดปกติ

ช่วงปี 2019 จึงเป็นปีที่เราอยู่ภายใต้ความกังวลว่าจะตาบอดมาโดยตลอด แต่ในแง่นึงมันก็ทำให้เราปลงตกกับชีวิต คือก่อนหน้านี้เราจะรู้สึกว่า เรามีความทุกข์ที่การงานไม่มั่นคง, เรามีความทุกข์ที่หาผัวไม่ได้, เรามีความทุกข์ที่เรายากจน, เรามีความทุกข์ที่เราอ้วน, เรามีความทุกข์ที่เราหาเวลาดูหนัง+เขียนถึงหนังได้ไม่มากพอ ฯลฯ

แต่พอเราเป็นโรคจอประสาทตาฉีกขาด เราก็เลยขอแค่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ตาไม่บอด โดยที่สุขภาพแข็งแรง เราก็พอใจมากๆแล้ว

เพราะฉะนั้นในบางครั้งพอเราเริ่มกังวลกับปัญหาอะไรมากเกินไป บางทีเราก็จะบอกตัวเองว่า “ยังไงวันนี้เราก็ยังโชคดีนะ เพราะวันนี้ดูเหมือนดวงตาเราจะยังปกติอยู่”

2.ความกังวลกับอาการจอประสาทตาฉีกขาดนี่ ก็ทำให้เราพลาดดูหนังดีๆไปบ้างเหมือนกัน หนึ่งในเหตุการณ์ที่ตลกดีก็คือว่า วันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. เราไปดูหนังชิลีเรื่อง SAL ที่โรง Lido Connect ในตอนค่ำๆ แล้วในระหว่างที่ดูหนัง เราก็เห็นแสงคล้ายแสงฟ้าแลบ หรือแสงแฟลช ราว 2-3 ครั้ง ซึ่งการเห็นแสงแฟลชนี่แหละ คือสัญญาณเตือนว่า จอประสาทตาเราอาจจะฉีกขาดได้

เพราะฉะนั้นในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย. ซึ่งเป็นวันที่เราตั้งใจจะไปดูหนังเทศกาลบางเรื่อง ก็เลยกลายเป็นวันที่เราต้องไปหาหมอ เพื่อขยายม่านตา ตรวจจอประสาทตา ซึ่งหมอก็ไม่พบอะไรผิดปกติ และเราก็ดีใจสุดๆที่ผลตรวจออกมาแบบนั้น แต่เราก็ต้องพลาดดูหนังเทศกาลไป

อย่างไรก็ดี พอเราเจอเพื่อนนักดูหนังบางคนในวันต่อๆมา และเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขาก็บอกว่า ตอนที่หนังเรื่อง SAL ฉายอยู่น่ะ มีผู้ชมบางคนยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายจอหนัง แล้วก็มีแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปด้วย น่ารำคาญมากๆ

เราก็เลยพบว่า ไอ้แสงแฟลชที่เราเห็นในวันที่ 24 พ.ย.น่ะ มันคือแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปจริงๆนั่นแหละ ไม่ใช่เกิดจากวุ้นลูกตาเสื่อมไปดึงจอประสาทตาแต่อย่างใด โธ่ ชีวิต

3.ทุกข์หนักของเราอีกอันนึง ก็คืออารมณ์โกรธของเรานี่แหละ ที่มันมาปะทุในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี และพอมันปะทุขึ้นมาแล้ว เราก็เลยเสียใจกับมันมากๆ เสียใจที่เราไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองได้ มันทำให้เรารู้สึกละอายใจ รู้สึกผิด และในที่สุดเราก็โกรธและเกลียดตัวเองน่ะ และถ้าหากเราเกลียดตัวเองแล้ว มันก็ยากที่เราจะมีความสุขได้ เพราะเราต้องอยู่กับตัวเองตลอดเวลา

ตอนนี้เราก็ได้แต่ทำใจว่า เราได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เราจะต้องระมัดระวังไม่ให้อารมณ์โกรธครอบงำเราได้อีก และเราจะใช้ความเสียใจและความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็น “เชื้อเพลิง” ให้เราพยายามพัฒนาตัวเองต่อไป

4.มีหลายครั้งในปี 2019 ที่เรารู้สึกท้อถอยกับชีวิต แต่เราก็รับมือกับมันด้วยการจินตนาการว่า ลูกหมีของเราพูดกับเราว่า “คุณแม่ช่วยมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 1 วันเพื่อผมนะครับ”

คือพอเราจินตนาการแบบนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลกับอนาคตข้างหน้ามากนักน่ะ ไม่ต้องกังวลกับความจน หรือปัญหาสุขภาพอะไรมากนัก เพราะการมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 1 วัน มันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับเราในปัจจุบัน

เราก็เลยใช้จินตนาการแบบนี้นี่แหละ ในการช่วยต่ออายุชีวิตตัวเองมาได้เรื่อยๆจนในที่สุดก็ผ่านปี 2019 มาได้

5. ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะผ่านปี 2020 ไปได้หรือไม่ สิ่งที่เราปรารถนาที่สุดในชีวิตตอนนี้ก็คือว่า คืนใดคืนนึง เมื่อเรานอนหลับไปแล้ว เราก็จะตายไปเลย ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก

แต่ถ้าหากเรายังไม่โชคดีแบบนั้น ยังคงตื่นนอนขึ้นมาอยู่ เราก็จะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 1 วันเพื่อลูกหมีของเราก็แล้วกัน 555

No comments: