SICKPACKERS (2015, Nattapol Waiprib, A+20)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.ดูจบแล้วก็ไม่แน่ใจว่าหนังต้องการจะสื่ออะไรนะ
แต่ชอบที่หนังมัน “ไม่ง่าย” ดี คือรู้สึกว่าผู้กำกับต้องใจแข็งพอประมาณ
ถึงจะทำหนังที่กระตุ้นความคิด หรือเซอร์เรียลหน่อยๆแบบนี้ออกมาได้ คือเราคิดว่านักศึกษามหาลัยส่วนใหญ่
เวลาเขากำกับหนัง เขาก็อาจจะเลือกทำหนังที่ส่งสารง่ายๆกับผู้ชม, ตีความได้ง่าย
หรือเน้นสร้างอารมณ์สนุกสนานเฮฮากับผู้ชมที่เป็นเพื่อนนักศึกษามหาลัยด้วยกันเป็นหลักน่ะ
หรือไม่ก็ทำหนังที่จะปูทางไปสู่การทำงานสร้างภาพยนตร์บันเทิงกระแสหลักในอนาคตต่อไป
แต่เราว่าหนังเรื่องนี้มันดูมีความทะเยอทะยานจะสร้างอะไรที่ไม่ “เอาใจผู้ชมส่วนใหญ่”
ในระดับนึง มันเหมือนกับว่าผู้สร้างหนังต้องใช้ความคิดในระดับนึง มันถึงจะออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ได้
และหนังก็กระตุ้นให้ผู้ชมใช้ความคิดมากๆตามไปด้วย
ว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในหนัง สิ่งต่างๆในเรื่องจริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่
2.ซึ่งแน่นอนว่าการที่ผู้ชมแต่ละคนตีความผิดหรือเข้าใจหนังผิด
ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใดในสายตาของเรา สิ่งสำคัญคือการกระตุ้นให้ผู้ชมใช้ความคิดต่างหาก
และเราว่าหนังเรื่องนี้มันดูเปิดกว้างดีในระดับนึง
เพราะเราเองก็ดูแล้วไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนังจะสื่อถึงอะไร
3.แล้วเวลาเราดูหนังเรื่องนี้
เราคิดถึงอะไรโดยที่หนังอาจจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจทำให้เราคิดถึงบ้าง สิ่งที่เราคิดถึงก็คือเรื่องของความต้องการจะหลีกหนีจากชีวิตประจำวันอันน่าเบื่อหน่ายน่ะ
คือเรามองว่าตัวละครอาจจะเป็นคนที่เบื่อหน่ายชีวิตประจำวันมากๆ
และมันสะท้อนออกมาในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง
เราว่าสภาพความเป็นอยู่ของเขาในโรงพยาบาลโรคจิต ที่ดูซึมกระทือมากๆ ดูไม่เป็นมิตรกับคนรอบข้างมากๆ
(ยกเว้นกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว) และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
ก็มีเพียงแค่ดาดฟ้าธรรมดาๆท่ามกลางตึกรามมากมาย
มันทำให้เราคิดถึงชีวิตประจำวันอันน่าเบื่อหน่ายน่ะ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของนักศึกษาที่อาจจะไม่มีความสุขกับการเรียน
หรือชีวิตของพนักงานออฟฟิศที่อาจจะทำงานไปเรื่อยๆเพียงเพื่อแค่ให้ตัวเองมีเงินเลี้ยงชีพเท่านั้น
การที่ตัวละคร “หนี” ไปเที่ยวในช่วงต้นเรื่อง
มันก็เลยทำให้เรานึกถึงการหลีกหนีจากสภาพความเป็นจริงอันน่าเบื่อหน่ายเพียงชั่วครู่ชั่วยามน่ะ
ซึ่งคนทั่วๆไปมักจะทำด้วยการไปเที่ยวทะเล, ภูเขากับเพื่อนๆ
(ส่วนเราคือการหยุดงานเพื่อดูหนังในเทศกาลหนัง) มันคือการตัด “ความรับผิดชอบ”
และความกังวลต่างๆในชีวิต หรือความน่าเบื่อหน่ายของชีวิตจริงไปชั่วขณะหนึ่ง
แต่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่สามารถลางานได้ตลอดไป หรือหยุดงานได้ตลอดไป พอถึงกำหนด
พวกเราก็ต้องกลับมาทำงานประจำอันน่าเบื่อหน่ายในเมืองใหญ่ต่อไป
ส่วนเรื่องกุญแจมือนั้น
มันทำให้เรานึกถึงความสัมพันธ์ขณะไปเที่ยวกับเพื่อนๆด้วยนะ คือบางทีมันก็รำคาญกัน
อึดอัดกัน ไม่พอใจกัน อย่างเช่น อีเพื่อนบางคนอยากจะเดินช้อปปิ้งสักชั่วโมงนึง
แล้วเราก็ต้องเดินตามมันไปด้วย ทั้งๆที่กูไม่ได้อยากจะช้อปปิ้งด้วยเลย อะไรทำนองนี้
แต่ถ้าหากเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกัน สามารถรักษาระยะห่างกันได้เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ
การไปเที่ยวก็จะราบรื่นมากขึ้น
แน่นอนว่าสิ่งต่างๆข้างต้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ แต่มันเป็นสิ่งที่เราคิดขึ้นมาเองขณะดูหนังเรื่องนี้
และถึงแม้เราจะตีความผิด หรือเข้าใจหนังผิด แต่เราก็ happy แล้วที่เราได้ใช้ความคิดกับหนังเรื่องนี้
และความที่เราไม่แน่ใจว่าหนังมันต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
ก็ทำให้หนังมันค้างคาใจเราได้นานขึ้นด้วย 555
ความรู้สึกของเราข้างต้นที่มีต่อหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงบทกลอน BIRCHES ของ
Robert Frost ด้วยนะ มันเป็นบทกลอนของคนที่เห็นต้นเบิร์ช
แล้วก็อยากจะปีนต้นเบิร์ชเล่น โหนต้นเบิร์ชเล่นแบบเด็กๆ
ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงสวรรค์ เพื่อจะได้หลีกหนีจากโลก, จากความเป็นจริง,
จากความกังวลมากมาย, จากเส้นทางชีวิตที่มาถึงทางตัน, จากการร้องไห้,
จากบาดแผลในชีวิต มันเป็นความรู้สึกของคนที่อยากจะหนีจากโลกไปสักระยะหนึ่ง
ก่อนที่จะกลับลงมาสู่โลกอีกครั้งเพื่อสู้ชีวิตต่อไป
อ่านบทกลอน BIRCHES ได้ที่นี่นะ
4.ชอบฉากที่ถ่ายด้านหลังตัวละครสองคน ทั้งที่บนกระท่อมและที่ดาดฟ้า
และก็ชอบฉากที่ตั้งกล้องนิ่งถ่ายตัวละครนั่งกันในโรงพยาบาลด้วย ฉากจูบก็ชอบมาก 555
5.ฉากจบก็คลาสสิคมาก ชอบมาก เราเดาว่ามันเป็นการฟรีซภาพนะ
เพราะก้อนเมฆไม่ขยับเลย ซึ่งในความเป็นจริงก้อนเมฆมันต้องขยับใช่ไหม เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฉากนี้จะสื่อถึงอะไร
แต่เราว่ามันทรงพลังดี ที่แช่ภาพก้อนเมฆกับเสาสัญญาณอะไรสักอย่างอย่างเนิ่นนานขณะนั้น
ภาพในฉากนี้มันทำให้เรานึกถึงความน่าเบื่อของชีวิตในเมืองใหญ่
หรือจริงๆแล้วเราก็ไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังการเมือง
แล้วฉากสุดท้ายมันคือสภาพของการถูกแช่แข็งทางการเมืองหรือเปล่า 555
6.การที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่าเหตุการณ์ตามความเป็นจริง
แต่เล่าผ่านทางการเปรียบเปรยถึงอะไรสักอย่างผ่านทางการหนีไปเที่ยวทะเลและสภาพความเป็นอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิต
มันแสดงให้เห็นว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้มีการใช้ความคิดอะไรบางอย่างอย่างดีพอสมควรในการคิดสร้างสถานการณ์เซอร์เรียลแบบนี้ออกมาน่ะ
ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนังต้องการจะสื่ออะไร
แต่ก็อย่างที่เราเขียนไปข้างต้นแหละว่า มันทำให้เรานึกถึง “สภาพจิต” ของคนที่ต้องการหลีกหนีจากความน่าเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวันน่ะ
แล้วมันทำให้เรานึกถึงหนังเรื่องอะไรอื่นๆอีกบ้างที่ทำให้เรารู้สึกคล้ายๆกัน
หนังที่เรานึกถึงก็คือเรื่อง THE ECLIPSE (1962, Michelangelo Antonioni) กับ RED DESERT (1964, Michelangelo Antonioni) น่ะ
ในแง่การสะท้อนสภาพจิตของตัวละคร ผ่านทาง landscape
และสภาพแวดล้อมของตัวละครเหมือนกัน คือในหนังกลุ่มนี้สภาพจิต,อารมณ์,
ความรู้สึกของตัวละครจะไม่ได้ถูกสื่อสารออกมาผ่านทางบทสนทนา หรือผ่านทางการแสดงออกโดยตรง
แต่มันจะถูกสื่อออกมาผ่านทางสภาพแวดล้อมและ landscape ซึ่งหนังเรื่อง
SICKPACKERS ทำให้เรานึกถึงจุดนี้เหมือนกัน ทั้งสภาพแวดล้อมที่ชายทะเล,
โรงพยาบาล และดาดฟ้า ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้ง real landscape และ
emotional landscape เหมือนกับหนังบางเรื่องของ Antonioni
7.สรุปว่าชอบหนังเรื่องนี้มากพอสมควร เราว่าในแง่เทคนิคและการแสดง
หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก
แต่ในแง่การใช้ความคิดและการเลือกใช้วิธีการที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อยในการสื่อสาร
เราว่ามันน่าสนใจมาก
No comments:
Post a Comment