Friday, October 23, 2015

WATERBOYY (2015, Rachyd Kusolkulsiri, A+15)

WATERBOYY (2015, Rachyd Kusolkulsiri, A+15)

--จริงๆแล้วชอบหนังในระดับ A+30 มาตลอดทั้งเรื่องเลยนะ แต่มันมาตกม้าตายตรงประมาณ 15 นาทีสุดท้ายของเรื่อง ที่ทำให้ความชอบของเราหล่นฮวบอย่างรุนแรง เหมือนกับว่าหนังมันจะพยายาม “สร้างอารมณ์ซึ้งๆ” ให้ได้ในช่วงท้ายน่ะ ตัวละครมันก็เลยทำอะไรที่ไม่เข้ากับตรรกะของเราอย่างมากๆ เพื่อจะได้นำพาไปสู่สถานการณ์ซึ้งๆในฉากจบ แต่เราไม่โอเคกับวิธีการแบบนี้อย่างมากๆ

เหมือนหนังไทยที่ฉายโรงใหญ่หลายเรื่องมีปัญหานี้ทั้งนั้นเลยนะ อย่าง THE DOWN นี่เราก็ชอบในระดับประมาณ A+ ถึง A+10 มาตลอดทั้งเรื่องเลยนะ แต่พอหนังมันพยายามใส่ “ประโยคคมๆ” เข้าไปในฉากจบ แล้วไอ้ประโยคคมๆนี่มันเป็นอะไรที่ต่ำมากๆ ความชอบของเราก็เลยหล่นฮวบมาเป็น A+/A

หนังเกย์สองเรื่องอย่าง MY BROMANCE และ LOVELOVEYOU อยากบอกให้รู้ว่ารัก (2015, ณภัทร ใจเที่ยงธรรม) เราก็มีปัญหากับองก์ที่สามของหนังหรือช่วงท้ายของหนังอย่างรุนแรงมากๆเช่นกัน คือถ้าหากตัดองก์ที่สามของหนังสองเรื่องนี้ทิ้งไป ระดับความชอบของเราที่มีต่อหนังสองเรื่องนี้จะพุ่งพรวดขึ้นมาทันที

อย่างไรก็ดี ถ้าหากเทียบกับ MY BROMANCE และ LOVELOVEYOU แล้ว เราชอบ WATERBOYY มากกว่าหนังสองเรื่องนั้นมากๆเลยนะ เราว่า WATERBOYY มันดู flow กว่า smooth กว่า อารมณ์มันดูไหลลื่นเป็นธรรมชาติมากกว่าหนังสองเรื่องนั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกขึ้นมาขณะดู WATERBOYY ก็คือ เรารู้สึกอิจฉาเด็กมัธยมยุคนี้อย่างรุนแรงที่มีหนังอย่าง WATERBOYY มาให้ดู คือเรารู้สึกว่า ถ้าหากเราได้ดูหนังแบบนี้ขณะที่เรายังเป็นวัยรุ่น เราคงจะมีความสุขอย่างสุดๆมากๆ ฝันหวานมากๆๆๆๆๆๆ คือหนังแบบนี้มันคงทำให้เราขณะเป็นวัยรุ่น “มีความฝันว่าวันพรุ่งนี้เราอาจจะได้เจออะไรแบบในหนัง หรือเจอผู้ชายแบบในหนัง” ก็ได้ อะไรทำนองนี้ แต่ตอนนี้เราอายุ 42 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราก็ไม่สามารถฝันหวานว่าเหตุการณ์ในหนังมันจะสามารถเกิดขึ้นได้กับชีวิตเราอีกต่อไปแล้วน่ะ

ขณะที่เราดู WATERBOYY เราก็นั่งนึกย้อนไปเหมือนกันนะว่า ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น หนังเรื่องไหนที่มีอิทธิพลต่อ “จินตนาการชีวิตเกย์ในอนาคต” ของเรา และเราก็พบว่า มันอาจจะเป็นหนังเรื่อง “ฉันผู้ชายนะยะ” (1987, M.L. Bhandevanop Devakul) ที่เราได้ดูในโรงหนังสยาม คือในยุคนั้นหนังเกย์มันยังเป็นสิ่งที่หายากมากๆเลยน่ะ แล้วพอเราได้ดูหนังอย่าง “ฉันผู้ชายนะยะ” และอ่านนิยายอย่าง “ประตูที่ปิดตาย” ของกฤษณา อโศกสิน และ “ใบไม้ที่ปลิดปลิว” ของทมยันตีในตอนที่เราเป็นเด็ก จินตนาการของเราที่มีต่อชีวิตเกย์ของเราในอนาคต มันก็เลยออกมาไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ มันไม่ใช่ว่านิยายและหนังเหล่านี้ไม่ดีนะ แต่นิยายและหนังเหล่านี้มันสะท้อนชีวิตเกย์ที่ไม่ค่อยสมหวังน่ะ และมันไม่ถูก balance ด้วย “หนังเกย์พาฝัน” เลย มันก็เลยเหมือนกับว่า ตอนที่เราเป็นเด็ก เราได้รับรู้แต่ “ภาพเกย์ระทมทุกข์” ผ่านทางภาพยนตร์และนิยายเพียงด้านเดียว และไม่ได้รับรู้ “ภาพเกย์พาฝัน” เพื่อมาถ่วงดุลกัน

คือถ้าหากเราได้ดูหนังอย่าง WATERBOYY ในปี 1987 เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า มันจะส่งผลกระทบต่อทัศนคติของเราอย่างไรบ้าง บางที ชีวิตเราอาจจะเปลี่ยนไปจากนี้ก็ได้ 555

ตอนที่เราดู WATERBOYY เราจะนึกถึงประโยคนึงในหนังซอมบี้เรื่อง COOTIES (2014, Jonathan Milott + Cary Murnion, A+25) อย่างรุนแรง ซึ่งมันเป็นหนึ่งในประโยคจากภาพยนตร์ที่เราชอบมากที่สุดในปีนี้ (ถ้าจำไม่ผิด) คือมันจะมีตัวละครตัวนึงพูดในทำนองที่ว่า “ผมเป็นครู และผมไม่มีความสุขกับการเป็นครู เพราะเวลาที่ผมสอนเด็กๆ ผมรู้ดีว่า เด็กๆที่ผมสอนยังมีอนาคตรออยู่ข้างหน้า พวกเขาอาจจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในอนาคต แต่ตัวผมเองไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว ผมอิจฉาเด็กๆที่ผมสอนมาก เพราะพวกเขามีอนาคตรออยู่ มีโอกาสรออยู่ แต่ผมไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว”

ตอนที่เราดู WATERBOYY เราก็รู้สึกทำนองคล้ายๆกัน เรารู้สึกอิจฉาเด็กเกย์มัธยมยุคนี้มากๆที่ได้ดูหนังอย่าง WATERBOYY ตั้งแต่ตัวเองยังเป็นเด็ก เรารู้สึกอิจฉาเด็กเกย์ยุคนี้มากๆ ที่พวกเขาอาจจะได้เริงรักแบบในหนัง WATERBOYY ตั้งแต่อยู่มัธยมหรือมหาลัยก็ได้ ในขณะที่เราไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว



No comments: