Thursday, January 27, 2022

3 DAYS IN MAY (2021, Wichaya Artamat, A+30)

 

3 DAYS IN MAY (2021, Wichaya Artamat, A+30)

เพลงนี้พ่อเคยร้อง

 

SPOILERS ALERT

 

1.เราไม่ได้ดูละครเวทีมานานหลายปีแล้ว พอมาดูบันทึกการแสดงละครเวที (เรียกแบบนี้ได้หรือเปล่า)  ในครั้งนี้ ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองต้องจูนคลื่นอยู่พักนึงเหมือนกัน 55555 ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นละครเวทีเท่านั้น แต่เป็นเพราะละครเวทีเรื่องนี้มันออกมาในแนวค่อนข้าง realistic กว่าละครเวทีโดยทั่วไปด้วยแหละ

 

คือเรารู้สึกว่า ในช่วงแรกเรามีระยะห่างจากเรื่องนี้พอสมควรน่ะ ซึ่งเป็นเพราะว่าถ้าหากมันเป็นหนังจริง ๆ มันคงจะมีการโคลสอัพหน้าตัวละคร หรือการเคลื่อนกล้องเข้าไปใกล้ตัวละครมากกว่านี้ และผู้ชมจะเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้ง่ายขึ้น แต่พอกล้องมันรักษาระยะห่างจากนักแสดงเหมือนเรากำลังนั่งดูละครเวทีอยู่จริง ๆ มันก็เลยเหมือนมีระยะห่างทางอารมณ์ระหว่างเรากับตัวละครมากกว่าหนังโดยทั่วไป

 

แต่เราก็เคยดูบันทึกการแสดงละครเวทีของฝรั่งเศสอยู่หลายเรื่องนะ ทั้งที่มาฉายทางทีวีช่อง TV5MONDE และที่มาฉายทาง Alliance แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าต้องจูนคลื่นมากเท่าเรื่องนี้น่ะ 55555 ซึ่งเราเดาว่าอาจจะเป็นเพราะว่าบันทึกการแสดงละครเวทีส่วนใหญ่ที่นำมาฉายทางทีวีหรือที่ Alliance มันเป็นการแสดงแบบโอเวอร์เกินจริงน่ะ และส่วนใหญ่เป็นการดัดแปลงมาจากบทละครเวทีเก่าอายุหลายร้อยปี นักแสดงเหมือนเล่นบนเวทีใหญ่ แล้วเลยต้องเล่นแบบชัด ๆ แสดงอารมณ์หนัก ๆ โอเวอร์มาก ๆ อารมณ์มันเลยส่งมาถึงผู้ชมได้ในทันที 55555

 

พอการแสดงใน 3 DAYS IN MAY มันค่อนข้าง realistic กว่าการแสดงแบบรัชดาลัย มันเลยทำให้เรารู้สึกเหมือนเรากำลังแอบฟังลูกค้าในร้านอาหารโต๊ะข้าง ๆ คุยกันอยู่อะไรทำนองนี้ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกเหมือนมีระยะห่างจากตัวละครในช่วงเริ่มแรก เพราะเรายังไม่ค่อยเข้าใจความเป็นมาเป็นไปของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์แบบชัด ๆ หนัก ๆ หรือโอเวอร์ออกมา คือพวกเขาเหมือนคนคุยกันจริง ๆ ไง และเวลาคนคุยกันจริง ๆ มันจะเหมือนภูเขาน้ำแข็ง คืออาจจะแสดงอารมณ์ออกมาเพียงแค่ 10% ของสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องอาศัยเวลานานกว่าปกติในการจูนให้ติดกับหนังเรื่องนี้ (ขอเรียกเรื่องนี้ว่า หนัง ด้วยแล้วกัน เพราะมันสั้นดี 55555) เพราะกล้องของหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ช่วยพาเราเข้าใกล้ตัวละครด้วยการ close up ด้วย

 

2.แต่พอจูนติดแล้วก็ชอบมาก ๆ นะ เราอาจจะไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว (โดยปกติเรามักไม่อินกับเรื่องครอบครัวอยู่แล้ว) แต่ก็มีจุดที่ชอบอยู่หลายจุด จุดแรกที่ชอบมากคือการที่พี่สาวเหมือนหมกมุ่นอยู่นั่นแหละกับความเชื่อของเธอที่ว่า พ่อเลิกบุหรี่ได้นานหลายปีก่อนตาย 55555 ทั้ง ๆ ที่น้องชายบอกว่ามันไม่จริง แต่เหมือนความเชื่อนี้ก็ยังคงฝังรากลึกในตัวเธออยู่ และเธอดูเหมือนจะปฏิเสธความจริงนี้มานานแล้วด้วย เพราะเธอเคยเห็นพ่อกับน้องชายสูบบุหรี่ด้วยกัน แต่เธอหลอกตัวเองว่าควันที่ออกจากปากของทั้งสองเป็นควันที่เกิดจากอากาศเย็นในฤดูหนาว คือเรารู้สึกว่าอาการหลอกตัวเองของตัวละครตัวนี้มันน่าสนใจมาก ๆ เพราะมันทำให้เรานึกถึงการปฏิเสธความจริงของผู้คนหลาย ๆ คนในสังคม หรือการที่คนหลาย ๆ คนในสังคมเชื่อใน “เรื่องไม่จริง” เกี่ยวกับคนบางคน

 

3.ชอบการตั้งคำถามเป็นระยะ ๆ เกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ทำเพื่อคนตายด้วย มันทั้งขำขันและน่าขบคิดไปตาม ๆ กัน และเราก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องของความเชื่อเฉพาะบุคคล เหมือนเราก็เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติในแบบของเรา ซึ่งก็อาจจะไม่ตรงกับความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติของคนอื่น ๆ หลาย ๆ คน และเราก็คิดว่าหลาย ๆ คนทำในสิ่งที่ไร้สาระในการทำตามความเชื่อเหล่านี้ แต่ถ้าหากพวกเขาไม่มาสร้างความเดือดร้อนอะไรให้เรา ก็เชิญทำตามความเชื่อของตนเองต่อไปให้เต็มที่ได้ตามสบาย เพราะการที่เราเชื่อเรื่องแม่มดและทำตามความเชื่อของเรา มันก็ย่อมเป็นสิ่งที่ไร้สาระในสายตาของผู้คนจำนวนมากเช่นกัน 55555

 

4.มี moment ที่ชอบมากอยู่หลายจุดเหมือนกันในหนังเรื่องนี้ หนึ่งใน moment ที่ชอบมากก็คือตอนที่พี่สาวทำอาการเหมือนได้กลิ่นน้ำมันเหลืองของพ่อ และมีอาการกลัวผี ไม่กล้าอยู่ห่างจากน้องชาย

 

5.ช่วงที่ร้องเพลง SUBARU ของเติ้งลี่จวินกับดอน สอนระเบียบก็ดี ตอนที่ร้องเพลงอิคคิวซังก็น่ารักมาก

 

6.ช่วงที่รู้สึกว่าเครียดดี คือตอนที่พี่สาวเหมือนพยายามจะถามน้องชายว่าชอบมีเซ็กส์กับเกย์หรือเปล่า แล้วน้องชายเหมือนไม่อยากจะตอบตรง ๆ คือตอนนั้นเราดูไม่ออกว่าน้องชายกับพี่สาวโมโหหรือโกรธใส่กันหรือเปล่า

 

7.อีก moment นึงที่ชอบมาก ๆ ก็คือการถกกันว่าจะขุดหาศพของสัตว์ที่พ่อเคยฝังไว้ดีไหม เพื่อพิสูจน์ว่าพ่อตอแหลหรือเปล่า

 

8.รู้สึกว่าบทสนทนาเป็นธรรมชาติดีมาก ๆ คือมันก็ไม่ได้สมจริงแบบ 100% แต่เราว่ามันค่อนข้างลดทอนความโอเวอร์ทางอารมณ์เมื่อเทียบกับหนังหรือละครเวทีโดยทั่วไปน่ะ คือเราว่าหนังโดยทั่วไปมันจะต้องพยายาม “ตลก” กว่านี้ , “ดราม่า” กว่านี้ หรือ “ซึ้ง” กว่านี้ แต่หนังเรื่องนี้เลือกจะใส่อารมณ์พวกนี้เข้ามาแบบบางเบาเท่านั้น

 

9. ชอบที่มีการพูดถึงพีท ทองเจือ, ยา Actifed, การมีกล่องใส่ความลับในตอนเด็ก, การเรียน Cultural Management, etc.

 

10.คิดว่าผู้ชมแต่ละคนอาจจะรู้สึกแตกต่างกันไปต่อเนื้อหาในหนังเรื่องนี้นะ เพราะประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แต่เรารู้สึกดีกับตอนจบ เพราะเราเชียร์ให้ขายบ้านเก่า และพี่น้องไม่จำเป็นต้องมาเจอกันอีก 55555

No comments: