3 DAYS IN MAY (2021, Wichaya Artamat, A+30)
เพลงนี้พ่อเคยร้อง
SPOILERS ALERT
1.เราไม่ได้ดูละครเวทีมานานหลายปีแล้ว พอมาดูบันทึกการแสดงละครเวที
(เรียกแบบนี้ได้หรือเปล่า) ในครั้งนี้
ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองต้องจูนคลื่นอยู่พักนึงเหมือนกัน 55555 ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นละครเวทีเท่านั้น
แต่เป็นเพราะละครเวทีเรื่องนี้มันออกมาในแนวค่อนข้าง realistic กว่าละครเวทีโดยทั่วไปด้วยแหละ
คือเรารู้สึกว่า ในช่วงแรกเรามีระยะห่างจากเรื่องนี้พอสมควรน่ะ
ซึ่งเป็นเพราะว่าถ้าหากมันเป็นหนังจริง ๆ มันคงจะมีการโคลสอัพหน้าตัวละคร หรือการเคลื่อนกล้องเข้าไปใกล้ตัวละครมากกว่านี้
และผู้ชมจะเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้ง่ายขึ้น
แต่พอกล้องมันรักษาระยะห่างจากนักแสดงเหมือนเรากำลังนั่งดูละครเวทีอยู่จริง ๆ
มันก็เลยเหมือนมีระยะห่างทางอารมณ์ระหว่างเรากับตัวละครมากกว่าหนังโดยทั่วไป
แต่เราก็เคยดูบันทึกการแสดงละครเวทีของฝรั่งเศสอยู่หลายเรื่องนะ
ทั้งที่มาฉายทางทีวีช่อง TV5MONDE และที่มาฉายทาง Alliance แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าต้องจูนคลื่นมากเท่าเรื่องนี้น่ะ 55555
ซึ่งเราเดาว่าอาจจะเป็นเพราะว่าบันทึกการแสดงละครเวทีส่วนใหญ่ที่นำมาฉายทางทีวีหรือที่
Alliance มันเป็นการแสดงแบบโอเวอร์เกินจริงน่ะ
และส่วนใหญ่เป็นการดัดแปลงมาจากบทละครเวทีเก่าอายุหลายร้อยปี นักแสดงเหมือนเล่นบนเวทีใหญ่
แล้วเลยต้องเล่นแบบชัด ๆ แสดงอารมณ์หนัก ๆ โอเวอร์มาก ๆ อารมณ์มันเลยส่งมาถึงผู้ชมได้ในทันที
55555
พอการแสดงใน 3 DAYS IN MAY มันค่อนข้าง realistic กว่าการแสดงแบบรัชดาลัย
มันเลยทำให้เรารู้สึกเหมือนเรากำลังแอบฟังลูกค้าในร้านอาหารโต๊ะข้าง ๆ คุยกันอยู่อะไรทำนองนี้
ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกเหมือนมีระยะห่างจากตัวละครในช่วงเริ่มแรก
เพราะเรายังไม่ค่อยเข้าใจความเป็นมาเป็นไปของพวกเขา
และพวกเขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์แบบชัด ๆ หนัก ๆ หรือโอเวอร์ออกมา
คือพวกเขาเหมือนคนคุยกันจริง ๆ ไง และเวลาคนคุยกันจริง ๆ มันจะเหมือนภูเขาน้ำแข็ง
คืออาจจะแสดงอารมณ์ออกมาเพียงแค่ 10% ของสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน
เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องอาศัยเวลานานกว่าปกติในการจูนให้ติดกับหนังเรื่องนี้
(ขอเรียกเรื่องนี้ว่า หนัง ด้วยแล้วกัน เพราะมันสั้นดี 55555) เพราะกล้องของหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ช่วยพาเราเข้าใกล้ตัวละครด้วยการ
close up ด้วย
2.แต่พอจูนติดแล้วก็ชอบมาก ๆ นะ เราอาจจะไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว
(โดยปกติเรามักไม่อินกับเรื่องครอบครัวอยู่แล้ว) แต่ก็มีจุดที่ชอบอยู่หลายจุด จุดแรกที่ชอบมากคือการที่พี่สาวเหมือนหมกมุ่นอยู่นั่นแหละกับความเชื่อของเธอที่ว่า
พ่อเลิกบุหรี่ได้นานหลายปีก่อนตาย 55555 ทั้ง ๆ ที่น้องชายบอกว่ามันไม่จริง
แต่เหมือนความเชื่อนี้ก็ยังคงฝังรากลึกในตัวเธออยู่ และเธอดูเหมือนจะปฏิเสธความจริงนี้มานานแล้วด้วย
เพราะเธอเคยเห็นพ่อกับน้องชายสูบบุหรี่ด้วยกัน
แต่เธอหลอกตัวเองว่าควันที่ออกจากปากของทั้งสองเป็นควันที่เกิดจากอากาศเย็นในฤดูหนาว
คือเรารู้สึกว่าอาการหลอกตัวเองของตัวละครตัวนี้มันน่าสนใจมาก ๆ
เพราะมันทำให้เรานึกถึงการปฏิเสธความจริงของผู้คนหลาย ๆ คนในสังคม
หรือการที่คนหลาย ๆ คนในสังคมเชื่อใน “เรื่องไม่จริง” เกี่ยวกับคนบางคน
3.ชอบการตั้งคำถามเป็นระยะ ๆ เกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ
ที่ทำเพื่อคนตายด้วย มันทั้งขำขันและน่าขบคิดไปตาม ๆ กัน และเราก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องของความเชื่อเฉพาะบุคคล
เหมือนเราก็เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติในแบบของเรา ซึ่งก็อาจจะไม่ตรงกับความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติของคนอื่น
ๆ หลาย ๆ คน และเราก็คิดว่าหลาย ๆ
คนทำในสิ่งที่ไร้สาระในการทำตามความเชื่อเหล่านี้ แต่ถ้าหากพวกเขาไม่มาสร้างความเดือดร้อนอะไรให้เรา
ก็เชิญทำตามความเชื่อของตนเองต่อไปให้เต็มที่ได้ตามสบาย
เพราะการที่เราเชื่อเรื่องแม่มดและทำตามความเชื่อของเรา
มันก็ย่อมเป็นสิ่งที่ไร้สาระในสายตาของผู้คนจำนวนมากเช่นกัน 55555
4.มี moment ที่ชอบมากอยู่หลายจุดเหมือนกันในหนังเรื่องนี้
หนึ่งใน moment ที่ชอบมากก็คือตอนที่พี่สาวทำอาการเหมือนได้กลิ่นน้ำมันเหลืองของพ่อ
และมีอาการกลัวผี ไม่กล้าอยู่ห่างจากน้องชาย
5.ช่วงที่ร้องเพลง SUBARU ของเติ้งลี่จวินกับดอน
สอนระเบียบก็ดี ตอนที่ร้องเพลงอิคคิวซังก็น่ารักมาก
6.ช่วงที่รู้สึกว่าเครียดดี
คือตอนที่พี่สาวเหมือนพยายามจะถามน้องชายว่าชอบมีเซ็กส์กับเกย์หรือเปล่า
แล้วน้องชายเหมือนไม่อยากจะตอบตรง ๆ
คือตอนนั้นเราดูไม่ออกว่าน้องชายกับพี่สาวโมโหหรือโกรธใส่กันหรือเปล่า
7.อีก moment นึงที่ชอบมาก ๆ
ก็คือการถกกันว่าจะขุดหาศพของสัตว์ที่พ่อเคยฝังไว้ดีไหม
เพื่อพิสูจน์ว่าพ่อตอแหลหรือเปล่า
8.รู้สึกว่าบทสนทนาเป็นธรรมชาติดีมาก ๆ คือมันก็ไม่ได้สมจริงแบบ 100% แต่เราว่ามันค่อนข้างลดทอนความโอเวอร์ทางอารมณ์เมื่อเทียบกับหนังหรือละครเวทีโดยทั่วไปน่ะ
คือเราว่าหนังโดยทั่วไปมันจะต้องพยายาม “ตลก” กว่านี้ , “ดราม่า” กว่านี้ หรือ “ซึ้ง”
กว่านี้ แต่หนังเรื่องนี้เลือกจะใส่อารมณ์พวกนี้เข้ามาแบบบางเบาเท่านั้น
9. ชอบที่มีการพูดถึงพีท ทองเจือ, ยา Actifed, การมีกล่องใส่ความลับในตอนเด็ก,
การเรียน Cultural Management, etc.
10.คิดว่าผู้ชมแต่ละคนอาจจะรู้สึกแตกต่างกันไปต่อเนื้อหาในหนังเรื่องนี้นะ
เพราะประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แต่เรารู้สึกดีกับตอนจบ
เพราะเราเชียร์ให้ขายบ้านเก่า และพี่น้องไม่จำเป็นต้องมาเจอกันอีก 55555
No comments:
Post a Comment