HOUSE OF GUCCI (2021, Ridley Scott, A+25)
1.อยากสร้าง “จักรวาลคู่ขนาน” ที่ Diana Spencer ได้แต่งงานกับผู้ชายแบบ
Maurizio Gucci ส่วนเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้แต่งงานกับผู้หญิงแบบ
Patrizia Reggiani คือรู้สึกว่าราชวงศ์อังกฤษเหมาะจะได้ลูกสะใภ้แบบ
Patrizia อย่างสุด ๆ
ลูกสะใภ้แบบนี้แหละที่ราชวงศ์อังกฤษคู่ควร นึกว่าต้องมีใครทำหนัง found
footage ที่ remix HOUSE OF GUCCI กับ SPENCER
เข้าด้วยกันเพื่อส่ง Patrizia ไปตบควีนอังกฤษ
พอดูไล่เลี่ยกับ SPENCER (2021, Pablo Larrain) แล้วเลยขำมาก
ๆ ที่ไดอาน่าใน SPENCER ดูเหมือนพยายามเหลือเกินหรือมีความสุขอย่างมาก
ๆ ที่จะกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนเอง ซึ่งก็คือ Spencer แต่ Patrizia
ใน HOUSE OF GUCCI พยายามย้ำจนวินาทีสุดท้ายในหนังว่าตอนนี้เธอนามสกุลกุชชี่
ไม่ใช่ Reggiani
2.เฉย ๆ กับการกำกับ แต่รู้สึกว่าเนื้อเรื่องสนุกดี
นึกถึงละครโทรทัศน์เรื่อง “สงครามเงิน” (1989) ที่ปรียานุช
ปานประดับปะทะกับชนาภา นุตาคม
3.รัก Jeremy Irons, Jack Huston (Domenico de Sole) และ Camiille
Cottin (Paola) ในหนังเรื่องนี้ รู้สึกถูกโฉลกกับ Camille
Cottin มากๆ ก่อนหน้านี้เราเคยเห็นเธอในหนังเรื่อง SOMEONE,
SOMEWHERE (2019, Cedric Klapisch)
SCREAM (หรือจริง ๆ คือ SCREAM 5)
(2022, Matt Bettinelli-Olpin, Tyler Gillett, A+30)
Serious Spoilers alert
--
--
--
--
--
--
--
--
--
--
--
1. รู้สึกสองจิตสองใจกับตอนจบของหนังมาก
ๆ ในแง่ที่ว่า เราอยากให้มีภาคต่อหรือไม่ เพราะเรารู้สึกผูกพันและรัก Sidney
กับ Gale มาก ๆ เลยน่ะ รู้สึกเหมือนกับว่า
พวกเราเติบโตมาด้วยกัน, รอดชีวิตมาด้วยกัน, แก่เฒ่าไปด้วยกัน ใจนึงก็อยากเห็นทั้งสองอีก แต่อีกใจนึงก็รู้ดีว่า
ถ้าหากมันมี SCREAM 6, 7, 8, ETC. โอกาสที่ทั้งสองจะถูกฆ่าตายก็มีสูงมาก
ๆ เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่แน่ใจว่าอยากให้มีภาคต่อหรือไม่ กลัวทั้งสองจะตาย
คือหนังชุด SCREAM ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า
ทั้งสองเป็นคนจริง ๆ ไปแล้ว ไม่ใช่แค่ตัวละคร 55555
ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนี้
เป็นเพราะว่า เราหลงใหลหนังชุดนี้มาก ๆ และเราเติบโตมากับมันด้วยแหละมั้ง
ตลกดีที่มันเป็นหนังซีรีส์สยองขวัญที่เราผูกพันกับมันอย่างรุนแรงขนาดนี้ แทนที่เราจะรู้สึกผูกพันกับ
1.1 หนังสารคดี SERIES ชุด UP ของ Michael Apted เพราะเราได้ดูมันช้าเกินไป
คือเราเพิ่งได้ดูมันเมื่อราว 5-6 ปีก่อน
คือถ้าหากหนังสารคดีชุดนี้ได้เข้ามาฉายในไทยทุก ๆ 7 ปี
และเราได้ดูมันมาตั้งแต่เด็ก เราก็คงได้รู้สึกว่า เราเติบโตไปพร้อมกับ subjects
ในหนังด้วย
1.2 ละครซีรีส์ SEX AND THE CITY
(1998-2004) ที่เราชอบสุดๆ แต่เราไม่ค่อยชอบ SEX AND THE
CITY 2 (2010, Michael Patrick King) และเรายังไม่ได้ดู AND
JUST LIKE THAT (2021) เราก็เลยยังไม่ได้รู้สึกว่า
เราแก่เฒ่าไปพร้อมกับพวกเธอ
1.3 หนังชุดที่เราผูกพันมาก ๆ อย่าง X-MEN
ตัวละครหญิงในหนังก็เหมือนไม่ได้ "แก่เฒ่า" ไปพร้อมกับเรา
1.4 หนังชุดที่เราไม่ได้ผูกพัน อย่างเช่น
JAMES BOND และ SPIDER-MAN นักแสดงก็ถูกเปลี่ยนตัวไปเรื่อย
ๆ เราก็เลยไม่รู้สึกว่า ตัวละครแก่เฒ่าไปพร้อมกับเราเช่นกัน
1.5 โคนัน 55555
2.คิดว่าสาเหตุนึงที่เรารักหนังชุด SCREAM
มาก ๆ เป็นเพราะมันรวมความสนุกของหนังสอง genres ที่เราชอบมากเข้าไว้ด้วยกัน นั่นก็คือ
2.1 หนังฆาตกรโรคจิตคนบ้าไล่ฆ่าคนจำนวนมาก
อย่างเช่น “สิงหาสับ” (THE TEXAS CHAINSAW MASSACRE),
FRIDAY THE 13TH, HALLOWEEN, PEEPING TOM (1960, Michael Powell), FRENZY (1972,
Alfred Hitchcock), etc. คือหนัง
genres นี้สนุกมาก ๆ ก็จริง แต่เราจะรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นฆาตกร
2.2 หนังแนว Agatha
Christie, Sherlock Holmes, Conan ที่เน้นสืบสวนสอบสวนว่าตัวละครตัวใดเป็นฆาตกร
แต่ไม่เน้นการร้องกรี๊ดด ๆๆๆ วิ่งหนีฆาตกร และในหนังชุดนี้เราจะรู้ว่าใครเป็น “นักสืบ”
และนักสืบจะไม่ถูกฆ่าตาย
คือเราคิดว่าหนังชุด SCREAM
มันรวมความสนุกของหนัง 2 genres นี้เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวน่ะ ซึ่งก่อนหน้า SCREAM ก็จะมีหนังแบบ “แต่งตัวไปฆ่า” (1980, Brian De Palma) และ DEEP RED (1975, Dario Argento) ที่เราว่ารวมความสนุกของหนังฆาตกรโรคจิตและหนังแนว
Agatha Christie เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสนุกสุดขีดเหมือนกัน
และเราว่าหลังจาก SCREAM
ภาคแรกในปี 1996 เป็นต้นมา ก็มีการผลิตหนังแนวนี้ตามมาอีกหลายเรื่อง
อย่างเช่น I KNOW WHAT YOU DID LAST SUMMER (1997, Jim Gillespie), 303 กลัว กล้า อาฆาต (1998, สมจริง ศรีสุภาพ), CHERRY FALLS (2000,
Jeffrey Wright), VALENTINE (2001, Jamie Blanks), SORORITY ROW (2009, Stewart
Hendler), MY SOUL TO TAKE (2010, Wes Craven) และล่าสุดก็คือ SEANCE
(2021, Simon Barrett, A+) แต่เราว่ายังไม่มีเรื่องไหนใน genre
นี้ที่เราชอบมากเท่า SCREAM เลยนะ
มีที่ใกล้เคียงก็คือ URBAN LEGEND (1998, Jamie Banks) ที่เราว่าทำได้ดีเกือบเท่า
SCREAM และหนังชุด HAPPY DEATH DAY
ที่ฉีกแนวออกไปได้ดี
เราก็เลยรู้สึกว่า หนังชุด SCREAM ยังคงยืนหนึ่งในใจเราในส่วนของ
genre นี้
3.แต่ถึงแม้เราจะชอบ SCREAM 5 มาก ๆ
แต่หนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้ติด 50 อันดับแรกประจำปีของเรานะ แต่อาจจะติด 100
อันดับประจำปี ไม่รู้เป็นเพราะเราแก่แล้วหรือเปล่า เราก็เลยรู้สึกว่า SCREAM
5 มันทำได้ดีใน genre ของมันเอง
แต่มันก็ยังคงติดอยู่ในกรอบบางประการใน genre ของมัน
และไม่สามารถทำให้เราตื่นเต้นกับมันเหมือนแต่ก่อน
คือเหมือนเราไม่อินกับมันหรือไม่ลุ้นกับมันมากเท่าแต่ก่อนน่ะ
คือถ้าหากเทียบ “ความลุ้น” แล้ว เราว่าเราลุ้นกับ MIDNIGHT (2021, Kwon Oh-seung,
South Korea) และ DOOR LOCK (2018, Kwon Lee, South Korea) มากกว่า เหมือนช่วงหลัง ๆ
เราว่าเกาหลีใต้ทำหนังฆาตกรโรคจิตออกมาได้น่ากลัวมาก ๆ สำหรับเรา คือเหมือนหนังเกาหลีสองเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกถูกคุกคาม
ตกอยู่ภายใต้อันตรายจริง ๆ ในขณะที่ SCREAM 5
มันมีความยักคิ้วหลิ่วตากับผู้ชมตลอดเวลา เราเลยรู้สึก “ผ่อนคลาย” กว่า 5555
เลยไม่ค่อย “ลุ้น” มากเท่า
และในส่วนของ “ความอิน” แล้ว เราก็อินกับหนังอย่าง FEBRUARY (2015, Oz Perkins) และ KRISTY (2014, Olly Blackburn) มากกว่า
แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดเราถึงอินกับหนังสองเรื่องนี้อย่างสุดขีด
4.สิ่งหนึ่งที่กราบมาก ๆ ใน SCREAM 5 คือการสร้างบุคลิกให้ตัวละครผู้หญิงแต่ละตัว
คือแต่ละตัวแค่โผล่มาแป๊บเดียว แต่ทำไมเราจดจำมันได้ แยกมันออกได้ในทันทีเลย
เราว่าผู้กำกับและคนเขียนบทเก่งมาก ๆ ในการแนะนำตัวละครหลายตัวในช่วงต้นเรื่อง
และทำให้เรา “แยก” ตัวละครเหล่านี้ได้โดยง่าย คือเราชอบบุคลิกของทั้ง Amber
(Mikey Madison), Mindy (Jasmin Savoy Brown) และ Liv (Sonia
Ammar) มากๆ เลยน่ะ คือเหมือนทั้ง 3 ตัวนี้มีออร่าเป็นของตัวเองมาก
ๆ
5.แต่แอบขำที่หนังสยองขวัญยุคหลัง ต้องมี “ตัวละครหญิงผิวดำแรง ๆ”
อย่างน้อย 1 ตัว เหมือนกลายเป็น ingredient สำคัญที่ขาดไม่ได้ในหนังสยองขวัญยุคนี้
ทั้ง Mindy ในเรื่องนี้, ตัวละครหญิงผิวดำใน SEANCE และตัวละครหญิงผิวดำใน BLACK CHRISTMAS (2019, Sophia Takal)
6.ฉากที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือก่อนเข้าองก์ 3
ที่ตัวละครหลายตัวไม่ไว้วางใจกันเองอีกต่อไปว่าใครเป็นฆาตกรกันแน่ เราชอบ moment แบบนี้อย่างสุด
ๆ น่ะ เราว่ามันหนักมาก ๆ แต่พอหนังเริ่มเฉลยว่าใครเป็นฆาตกร ความชอบของเราก็ drop
ลงเล็กน้อย 55555
ชอบฉากที่ Mindy กับ Amber ท้าทายกันว่าใครเป็นฆาตกรตอนอยู่ในห้องใต้ดินด้วยนะ
moment นั้นเราก็ลุ้นมาก ๆ เหมือนกัน
เพราะตอนนั้นเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครเป็นฆาตกร
7.อีก moment นึงที่ชอบสุดขีด คือตอนที่ฆาตกรออกมาหลอก Gale
กับ Sidney แล้ว Gale กับ
Sidney ก็คุยกันว่า
“What do you think?”
“It’s a trap.”
คือตายแล้ววววววววววววววววว นึกว่ามือใหม่ปะทะกับ “ทหารผ่านศึก”
ของจริง กราบ Gale กับ Sidney มาก ๆ
พวกเธอคือทหารผ่านศึก ผ่านสมรภูมิรบมาแล้วอย่างโชกโชนจริง ๆ DIE HARD WITH
A VENGEANCE มาก ๆ นึกว่าเล่นกับใครไม่เล่น
มาเล่นกับทหารที่ผ่านมาแล้ว “4 สมรภูมิรบ” ทั้งสงครามโลกครั้งที่สอง,
สงครามเกาหลี, สงครามเวียดนาม, สงครามอิรัก 555555
8. พอดูหนังจบแล้ว มาอ่าน Wikipedia ถึงรู้ว่าสามีของ Sidney คือ Mark (Patrick
Dempsey) จาก SCREAM 3
9.ถ้าให้เปรียบเทียบทั้ง 5 ภาค ตอนนี้เราก็อาจจะชอบ
9.1 ภาคหนึ่งมากที่สุด
9.2 SCREAM 3 (2000) มากเป็นอันดับสอง
เพราะเราชอบความเป็นหนังซ้อนหนัง
9.3 SCREAM 2 (1997) มากเป็นอันดับสาม เราว่าจริง ๆ
แล้วภาคนี้อาจจะไม่ค่อยดี แต่พอเราได้ดูมันตอนที่เรายังเป็นเด็ก
เราก็เลยสนุกกับมันมาก ๆ น่ะ และเราฝังใจกับ 3 จุดนี้ใน SCREAM 2 มาก ๆ ซึ่งได้แก่
9.3.1 ฉากเปิดของ Jada Pinkett Smith ที่คาดไม่ถึงมาก
ๆ ว่าจะเกิดฆาตกรรมแบบนี้ได้
9.3.2 ฉากฆาตกรรมคนกลางวันแสก ๆ
ในที่ชุมนุมชนด้วยรถตู้ที่ตั้งอยู่กลางมหาลัย คือมันคาดไม่ถึงอย่างสุด ๆ สำหรับเรา
น่ากลัวมาก ๆ
9.3.3 การเปิดตัวฆาตกรที่เป็นผู้หญิง ที่ทำให้เรากับเพื่อน ๆ
ร้องวี้ดมาก ๆ 55555
9.4 ภาค 5 มากเป็นอันดับ 4
9.5 SCREAM 4 (2011, Wes Craven) มากเป็นอันดับ 5
คือเราว่าภาค 5 กับภาค 4 ก็ดีมาก ๆ แหละ
แต่คงเป็นเพราะเราได้ดูสองภาคนี้ตอนที่เราแก่ตัวลงแล้ว เราก็เลยไม่ลุ้นกับมันมากเท่าตอนที่เรายังเป็นเด็ก
No comments:
Post a Comment