Friday, April 29, 2022

THE SOUND OF DEVOURING DUST (2021, Jessada Chan-yaem, 34min, A+30)

 

THE SOUND OF DEVOURING DUST (2021, Jessada Chan-yaem, 34min, A+30)

นครฝุ่น

 

(ที่เราเขียนข้างล่างนี้เอามาจาก message ที่เราเคยเขียนคุยกับตัวผู้กำกับนะ เพราะฉะนั้นภาษาที่เราใช้ในนี้อาจจะดูแตกต่างจากที่เราเขียนคุยกับตัวเองในบันทึกความทรงจำถึงหนังเรื่องอื่น ๆ 55555)

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

 

1.ชอบสุด ๆ ในหลาย ๆ ส่วนเลยครับ อันแรกเลยก็คืองานด้านภาพ ที่ถ่ายได้ทรงพลังดีงามมาก ตั้งแต่ฉากแรกที่เป็นห้อง ก็ถ่ายออกมาแล้วได้บรรยากาศดี แล้วฉากต่อมาที่เป็นการถ่ายผ่านกระจกมัว ๆ ในห้องน้ำนี่สุดยอดมาก ๆ เป็น visual ที่ดีมาก

 

ชอบการเล่นกับ effect ทางภาพด้วยครับ อย่างฉากจูบกันแล้วซ้อนกันเป็น 4 คนนี่ติดตามาก ๆ

 

การเลือนภาพเข้าด้วยกันก็ดีงามมากครับ โดยเฉพาะการเลือนภาพจากตอนที่รถวิ่งแล้วเห็นแสงไฟรถ เข้ากับภาพรอยแตกปริบนฝาผนัง ถือเป็นอีกหนึ่ง visual ที่ติดตามาก ๆ จากหนังเรื่องนี้

 

2.ชอบกลวิธีการเล่าเรื่องผ่านทางเสียงกับภาพที่ไม่สัมพันธ์กันซะทีเดียวด้วยครับ นึกถึงพวกหนังของ Marguerite Duras ซึ่งเป็นวิธีการที่ผมชอบมาก ๆ เพราะงานด้านภาพของหนังมันก็ทรงพลัง น่าดูมาก ๆ อยู่แล้ว และเสียงเล่าเรื่องของหนัง ทั้งเสียง voiceover ของผู้หญิง+ผู้ชาย และเสียงตัวละครในฉากนึง มันก็ช่วยกระตุ้นจินตนาการผู้ชมให้นึกภาพในหัวควบคู่กันไปด้วย

 

ตัวเรื่องที่เล่าผ่านทางเสียงก็ทรงพลังมาก ๆ ครับ ทั้งเรื่องของหญิงสาวที่ถูกตบตีอย่างรุนแรง, เรื่องของผู้ชายที่ได้ยินเสียงเปรต, เรื่องของผู้ชายที่รู้สึกว่าเวลาวนอยู่แค่ 12.00-15.00 น. และเรื่องของผู้ชายที่ฝันว่าตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงที่ต้องไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์

 

3. ชอบ sound effect อย่างสุดๆ ด้วยครับ มันทรงพลังมาก และบางช่วงมันก็ดูเหมือนมีหลาย layer มาก ๆ ชอบที่บางครั้งเหมือนมีเสียงเครื่องดนตรีแว่วมาเบาๆ และตอนท้ายของหนังก็เหมือนมีเสียงโทรศัพท์ด้วย

 

4.ชอบที่มี “สี” ขึ้นมาในฉากนึงด้วยครับ ฉากนั้นทรงพลังมาก ๆ ที่เป็นผู้ชายนอนอยู่บนเตียง ลืมตา แต่เหมือนอึดอัด ขยับตัวไม่ได้

 

5.ประเด็นของหนังก็น่าคิดมาก ๆ เริ่มตั้งแต่ “ฝุ่น” ที่ทำให้นึกถึง 3 อย่าง ซึ่งได้แก่

 

5.1 ปัญหาสิ่งแวดล้อม PM2.5

 

5.2 ปัญหาการเมืองไทย ฝุ่นในที่นี้อาจจะคล้าย ๆ สลิ่ม 55555

5.3 พอตอนหลังตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องเล่าสลายกลายเป็นฝุ่น อันนี้ก็ทำให้นึกถึง ashes หรืออัฐิ เพราะสุดท้ายทุกคนก็ต้องตายไป ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าหนังตั้งใจหรือเปล่า แต่ “ฝุ่น” ในหนังทำให้นึกถึง 3 อย่างดังที่ว่ามานี้ครับ

 

6.ชอบที่หนังพูดถึงปัญหาการเกณฑ์ทหารด้วย

 

7.สิ่งที่ไม่รู้ว่าหนังตั้งใจหรือเปล่า แต่เราดูแล้วนึกถึง ก็คือเรื่องการสังหารหมู่เสื้อแดงในปี 2010 ซึ่งหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้

 

ปัจจัยที่ทำให้นึกถึงเรื่องการสังหารหมู่เสื้อแดงก็คือ

 

7.1 เสียงประหลาดกลางใจเมือง เพราะตัวละครบอกว่าตัวเองอยู่กลางเมือง เปรตไม่น่าจะเข้ามาได้ แล้วเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ตัวละครได้ยินกลางเมืองน่าจะมาจากที่ใด หรือว่าเป็นเสียงของวิญญาณผู้ที่ถูกสังหารหมู่ในปี 2010

 

7.2 หลังจากฉากที่ตัวละครจูบกัน เราเห็นตัวละครเหมือนนอนอยู่บนพื้น หรือนอนอยู่บนเตียง เหมือนตายแล้ว เหมือนมีแสงแฟลชจาก camera ถ่ายรูปตัวละครที่นอนตายอยู่ และตัวละครก็มีรอยฟกช้ำอย่างรุนแรงที่แผ่นหลังด้วย

ส่วนเสียง sound effect ในฉากนั้นเหมือนเสียงยิงปืน ภาพกับเสียงในฉากนั้นก็เลยทำให้เราคิดถึงเรื่องการสังหารหมู่เสื้อแดงขึ้นมา เพราะมันคือเสียงของ “ปืนยิง” บวกกับภาพของศพคน

 

การที่ตัวละครเหมือนนอนตายโดยโพสท่าต่าง ๆ กันไป ก็ทำให้นึกถึงการตัดต่อแบบในหนังเรื่อง LAST YEAR AT MARIENBAD ด้วยครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบมาก ๆ มันเป็นการตัดต่อหรือการนำเสนอฉากที่ดูทั้งจริงและไม่จริงในเวลาเดียวกัน

 

7.3 การใส่ฉากรูปสลักของกลุ่มคนเข้ามาต่อจากฉากนั้น ก็ทำให้นึกถึงประเด็นทางการเมืองด้วยเช่นกัน ชอบมาก ๆ ด้วยที่มีการเลือนฉากนางรำเข้ามาต่อจากฉากนี้

 

7.4 การที่ตัวละครฝันถึงเด็กที่ต้องไปทำงานที่เพชรบูรณ์ แล้วมีการพูดประโยคที่ว่า “คนพวกนั้นมืชื่อ แต่จะมีค่าอะไรถ้าไม่ถูกจดจำ” ก็เป็นประโยคที่ทำให้นึกถึงการสังหารหมู่เสื้อแดงเช่นกันครับ

 

8.ชอบที่หนังนำเสนอพระอาทิตย์ในทางไม่ดีด้วย เพราะพระอาทิตย์ในหนังเหมือนสร้างความแสบร้อนเผาไหม้ให้กับตัวละคร ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกดี เพราะปกติแล้วพระอาทิตย์มักไม่ค่อยถูกนำเสนอในทางลบ

 

9.ฉากที่ติดตาที่สุดฉากนึง คือฉากที่เราเห็นชิงช้าอันนึงยังแกว่งไกวอยู่ แต่ไม่มีคนนั่งอยู่บนชิงช้าแล้ว เป็นฉากที่ทรงพลังมาก หลอนมาก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วอาจเป็นเพียงแค่ “แรง” ที่ยังหลงเหลืออยู่ หลังจากที่มีคนผลักชิงช้าก่อนหน้านั้น

 

10. ชอบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างในหนังด้วย อย่างเช่นการให้ตัวละครตัวนึงไอโขลกตลอดเวลา

 

11.ตอนแรกนึกว่าฉากสุดท้ายเป็นการ replay ฉากแรก เพราะเสียงเล่ามันเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะฉากแรกตัวละครเหมือนเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดจู๋ด้วย (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) แล้วก็ค้างผ้าเช็ดตัวไว้ที่จุดนั้น ก่อนที่จะตัดเป็นหน้าตัวละคร แต่ฉากสุดท้ายตัวละครเหมือนไม่ได้เช็ดจู๋ แต่ปล่อยให้ผ้าเช็ดตัวตกลงพื้นไป 555 แต่ผมมองไม่ออกว่าตัวละครที่เช็ดตัวในฉากสุดท้ายเป็นผู้ชายคนเดียวกับในฉากแรกหรือเปล่า แต่ผมเดาว่าอาจจะเป็นคนละคนกัน

 

12. ชอบการใช้ไซต์ก่อสร้างในช่วงท้ายด้วย ตรงนี้จะทำให้นึกถึงหนังสั้นเรื่องนึงโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็คือหนังสั้นเรื่อง “นครอัศจรรย์” MIGHT (2011, วชร กัณหา, 30min) ที่เหมือนเป็นการถ่ายไซต์ก่อสร้างในกรุงเทพทั้งเรื่อง ประกอบกับเสียงบรรยายของทนายความคนนึงที่พยายามช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ถูกคดีเผาอาคารราชการในอุบลในปี 2010 มั้ง ถ้าหากเราจำไม่ผิด คือเหมือนหนังทั้งสองเรื่องนี้เป็นหนังการเมืองไทยเหมือนกัน และมีการใช้ภาพไซต์ก่อสร้างในกรุงเทพในฐานะสัญลักษณ์หรืออะไรสักอย่างเหมือนกัน 5555 แต่ในกรณีของ MIGHT นั้นหนังใช้แต่ภาพไซต์ก่อสร้างไปเลยนาน 30 นาที

 

13.อีกสิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คือทำให้นึกถึงบทกวี “ก่อนลั่นดาล” ของคุณไอดา อรุณวงศ์ในนิตยสาร “อ่าน” ฉบับเดือนก.ค.-ธ.ค. 2013 ครับ โดยผ่านทางตัวละครหญิงสาวในเรื่องที่เล่า เพราะหญิงสาวคนนั้นถูกตบตี แต่เธอก็ไม่โต้ตอบ ได้แต่เงียบ หรือร้องไห้ คือสิ่งที่หญิงสาวในเรื่องเล่านั้นถูกกระทำ มันทำให้นึกถึงบทกวีท่อนที่ว่า

 

ยอมเจียม ยอมเงียบ ยอมหยุด

จมจนจ่อม จมจนทรุด จนที่สุดของการข่มเหง

เป็นจำเลยไม่จำนรรจ์ลั่นบรรเลง

โจทก์มันสูง โจทก์มันเก่ง โจทก์มันเทวดา”

 

สรุปว่าชอบหนังอย่างสุด ๆ ครับ

 

No comments: