Wednesday, April 20, 2022

REMEMBRANCE (2022, Chatpol Buawan, 8min, A+15)

 

พอดู “16 ห้าว 19 เดือดแล้ว ในหัวของเราก็มีแต่การจินตนาการว่า อยากให้มีการสร้างหนังย้อนยุคแบบนี้เกี่ยวกับวัยรุ่นไทยในทศวรรษ 1980 อีกสักเรื่อง แต่อาจจะเน้นไปที่ตัวละครฝ่ายหญิงในกรุงเทพ เพื่อความ nostalgia

โดยในหนังอาจจะมีอะไรต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

 

1.ต้องมีแก๊งตัวละครที่ใส่ชุดของ Benetton, มีตัวละครที่ใส่ชุดของ พรศรี เดบูตองท์” , ใส่เสื้อเสริมไหล่ และที่สำคัญคือต้องมีตัวละครใส่ กระโปรงบอลลูนเพราะตอนนี้เรายังเก็บกระโปรงบอลลูนสีชมพูจากทศวรรษ 1980 เอาไว้อยู่เลย 55555 กระโปรงบอลลูนจากทศวรรษนั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งทางความทรงจำสำหรับชีวิตเรา

 

2.ตัวละครต้องปะทะกันในห้างชาญอิสระ, สยามเซ็นเตอร์ และ SOGO คือจริง ๆ แล้วตัวละครควรปะทะกันใน ราชดำริอาเขตด้วย แต่ห้างนี้หายไปแล้ว

 

3.เพลงประกอบของไทยต้องมีเพลงของจันทนีย์ อูนากูล, ผุสชา, แหวน ฐิติมา, รวิวรรณ จินดา, วิยะดา โกมารกุล ณ นคร

 

4. เพลงประกอบจากต่างประเทศต้องมีเพลงของ Bananarama, Gazebo, Gloria Estefan, Akina Nakamori, Seiko Matsuda, Shonentai, Madonna, Cyndi Lauper

 

5. ตัวละครอาจจะกินอาหารกันใน McDonald’s, Swensen, Pizza Hut เหมือนเป็นร้านอาหารยอดฮิตในยุคนั้น ถ้าเราจำไม่ผิด McDonald’s เพิ่งเข้ามาในไทยตอนเราขึ้นม.1 แล้วมั้ง ประมาณปี 1985 เปิดที่โซโก้ แต่ถ้าเหตุการณ์เกิดในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ตัวละครอาจจะต้องเจอกันที่ ศาลาโฟร์โมสต์” 555

 

ถ้ามีการสร้างหนังแบบนี้จริง ๆ เพื่อน ๆ อยากให้มีอะไรในหนังอีกบ้างคะ

 -------------

ONCE UPON A TIME IN BANGKOK, THERE USED TO BE CINEPHILIC HEAVENS CALLED “INTERNATIONAL FILM FESTIVAL” (รำลึกถึงหนังที่เราชอบสุด ๆ ที่เคยดูในเทศกาลภาพยนตร์ของพี่วิคเตอร์ เกรียงศักดิ์ ศิลากอง)

 

9.ARARAT (2002, Atom Egoyan, Canada)

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ในเทศกาลภาพยนตร์ Bangkok International Film Festival ในช่วงต้นปี 2003 ที่มีพี่วิคเตอร์ เกรียงศักดิ์ ศิลากองเป็น programmer เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงหนังในสยาม ดิสคัฟเวอรี่ จำได้ว่า David Alpay พระเอกสุดหล่อของหนังเรื่องนี้มาร่วมงานเทศกาลนี้ด้วย เราให้เพื่อนไปขอลายเซ็นเขา เพราะเราเขิน ไม่กล้าเข้าไปขอลายเซ็นเขาด้วยตัวเอง 555 เขาก็เซ็นบนตั๋วหนังให้เรา แต่ไม่รู้ตอนนี้ตั๋วหนังใบนั้นหายไปไหนแล้ว

 

เหมือนหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ดูผลงานการแสดงของ David Alpay อีกเลยมั้ง เพราะเขาไปแสดงละครทีวีเป็นหลัก

 

เข้าใจว่านักวิจารณ์และผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ชอบ ARARAT นะ แต่เราชอบสุดขีด ตรงจริตเรามาก ๆ หนังพูดถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนียในตุรกีเมื่อราว 100 ปีก่อน และผลกระทบที่มีต่อคนต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งต่อจิตรกรชื่อดังที่เคยใช้ชีวิตในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 และต่อลูกหลานชาวอาร์เมเนียในแคนาดาในปัจจุบัน

 

เราชอบที่หนังนำเสนอตัวละครหลากหลายมากมายน่ะ ทั้งตัวละครในอดีตและปัจจุบัน ทั้งเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รุนแรงสุด ๆ ในอดีต, คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์นั้นในอดีต และคนธรรมดาในปัจจุบันที่พยายามศึกษาประวัติศาสตร์ เหมือนหนังมันสร้างความประทับใจและสะเทือนใจให้เราอย่างรุนแรงสุด ๆ

 

ชอบการโยงตัวละครหลากหลายมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกันด้วย เหมือน Atom Egoyan เป็นผู้กำกับไม่กี่คนที่สามารถเล่าเรื่องที่ซับซ้อนทำนองนี้ให้ออกมาได้งดงามและสะเทือนใจเราอย่างรุนแรงมาก เหมือนในเรื่องนี้เขาแสดงให้เห็นว่าเขามีทั้งฝีมือแบบ Alain Resnais (บาดแผลจากอดีตที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของตัวละครในปัจุบัน)  และ Robert Altman (ที่ชอบเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลาย ๆ  ตัว)

 

สรุปว่าตอนนี้เราได้ดูหนังของ Egoyan ไปแค่ 5 เรื่อง ซึ่งก็คือเรื่องนี้, CHLOE (2012), WHERE THE TRUTH LIES (2005), EXOTICA (1994) กับ CALENDAR (1993) ซึ่งก็ชอบสุดๆ 4 เรื่อง มีที่เฉย ๆ หน่อยก็คือ CHLOE

 -------------

REMEMBRANCE (2022, Chatpol Buawan, 8min, A+15)

 

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่

https://www.youtube.com/watch?v=oGF3aO_Zf60

 

spoilers alert

--

--

--

--

--

1.เหมือนช่วงครึ่งแรกของหนัง เราจะรู้สึกว่า “กูดูอะไรอยู่วะ” 555555 แต่พอตอนหลังหนังเฉลยความจริงออกมา ก็เออ ยอมรับได้ สิ่งที่หนังนำเสนอในช่วงต้นเรื่องถือว่ามีเหตุผลสมควรอยู่

 

2.หนึ่งในสิ่งที่ชอบมากก็คือจังหวะของหนังตอนเฉลยความจริง เป็นจังหวะที่เปรี้ยงมาก ดีมาก แม่นมาก หนังสร้างอารมณ์สะเทือนใจ สะอึกได้ดีมาก ๆ ในจังหวะนั้น

 

3.ชอบการออกแบบตัวละครพระเอกมาก ๆ เลยด้วย เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ฟูมฟาย ไม่แสดงความรู้สึกแบบโจ่งแจ้งน่ะ เหมือนเขาเก็บงำความรู้สึกของตัวเองได้ดี แต่เราก็สัมผัสความเจ็บปวดของเขาได้มาก ๆ ในเวลาเดียวกัน

 

4.ชอบการพูดถึงกล้องฟิล์มด้วย nostalgia มาก ๆ เพราะเราก็ไม่ได้ใช้กล้องฟิล์มมานานราว 10 กว่าปีได้แล้วมั้งเนี่ย

 

5.แต่ก็ไม่ได้ชอบหนังถึงระดับ A+30 นะ ปัจจัยแรกก็คงเป็นเพราะมันเป็นหนังสั้นน่ะ มันก็เลยเหมือนมีไอเดียเปรี้ยง ๆ แค่อันเดียว ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

 

6.จริง ๆ แล้วบทสนทนาของตัวละครก็เป็นธรรมชาติและสมจริงมาก ซึ่งก็เป็นข้อดี แต่มันอาจจะสมจริงเกินไปจนเราอยากให้มันมีอะไรมากกว่านี้หน่อย 5555 คือตัวละครไม่ได้คุยกันในแบบที่จะทำให้เราได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิต, ประวัติความรัก, อารมณ์ความรู้สึก หรือรายละเอียดปลีกย่อยใด ๆ ในชีวิตของพวกเขาเลย คือถ้าหากบทสนทนาของตัวละครสามารถถ่ายทอดอะไรอื่น ๆ เกี่ยวกับตัวละครออกมาได้มากกว่านี้ เราก็อาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นก็ได้นะ

 

7.เราว่า location ที่ตัวละครถ่ายรูปกัน มันดูไม่ค่อยน่าสนใจด้วยแหละ มันดูธรรมดาเกินไป คือถ้าหากหนังมันยาวกว่านี้, ตัวละครไปถ่ายรูปกันในหลาย ๆ location มากกว่านี้, บทสนทนาของตัวละครแน่นกว่านี้ เราก็อาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นก็ได้นะ

 

แต่ที่หนังเป็นอยู่นี้ก็ค่อนข้าง ok แล้วแหละ เหมือนเป็นหนังเล็ก ๆ ไอเดียเดียวที่ไม่ได้พยายามอะไรมากเกินไป

No comments: