MAD
FATE โชคชะตากลั่นแกล้งมาก ๆ เมื่อคืนตอน 2 ทุ่มเราพบว่า
พลาสเตอร์ปิดแผลผ่าตัดหมอนรองกระดูกที่กลางหลังมันเหมือนลอก ๆ ออกส่วนนึง
เราเลยรีบนั่งมอไซค์ไป clinic ในซอยเพื่อให้เขาทำแผลให้
แล้วพอพยาบาลใน clinic เห็นแผล เขาก็บอกว่ามันมีรู
อาจจะติดเชื้อ ควรไปโรงพยาบาล แล้วพยาบาลที่ clinic เขาก็ทำแผลให้เรา
และติดพลาสเตอร์กันน้ำให้ แล้วหลังจากนั้นเราก็เดินกลับอพาร์ทเมนท์ แล้วก็อาบน้ำ +
นั่งส้วม แล้วอยู่ดี ๆ พลาสเตอร์ปิดแผลก็ลอกออก แล้วหลุดออกมา
น้ำก็เลยไหลเข้าไปโดนแผลที่อาจจะติดเชื้ออยู่ กรี๊ดดดด (เราเข้าใจว่าการที่มันลอกออก
มันเกิดจากการที่เราเป็นคนเหงื่อออกง่ายมากและเยอะมาก คือถ้าอุณหภูมิเกิน 28
องศา เหงื่อเราจะออกแล้ว แล้วเราไป clinic ตอนที่เหงื่อออก
มันเลยส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของพลาสเตอร์ปิดแผล)
เราก็เลยเรียก grab
ไปโรงพยาบาลตอน 4 ทุ่ม
แต่ซอยที่เราอาศัยอยู่เป็นซอยแคบ แล้วช่วง 4 ทุ่มมีรถขนสินค้ามาส่งสินค้าใน
7-eleven ในซอย มันเลยทำให้การสัญจรของรถยนต์ในซอยลำบากมากในช่วงนั้น
เพราะฉะนั้นกว่าที่รถ grab ของเราจะออกจากซอยได้ ก็ติดขัดนานอยู่เหมือนกัน
นึกว่าโชคชะตากลั่นแกล้งมาก ๆ
พอเราไปถึงโรงพยาบาลตอน
4 ทุ่ม หมอที่อยู่เวรกลางดึกก็มาทำแผลให้เรา แต่เขาก็ไม่ได้เปิดแผลดูด้านใน
เราเองก็ไม่มีไข้ เราก็เลยตัดสินใจไม่นอนโรงพยาบาลดีกว่า
เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงอพาร์ทเมนท์ได้ก็
5 ทุ่มครึ่ง เหนื่อยล้ากับชีวิตมาก ๆ กลัวมาก ๆ ว่าแผลเราจะติดเชื้อ แล้วมันก็โดนน้ำเข้าไปด้วย
ซึ่งมันเป็นแผลที่กระดูกสันหลัง เส้นประสาทสันหลังพอดี เรากลัวมาก ๆ
ว่าแผลมันจะติดเชื้อเส้นประสาทตรงกระดูกสันหลังอะไรทำนองนี้ได้หรือเปล่า แล้วพอเราตื่นเช้าขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น
เราอาจจะพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตไปแล้ว ขยับแขนขาไม่ได้ ขอความช่วยเหลือใครก็ไม่ได้
เพราะเราอาศัยอยู่ตามลำพังกับลูกหมี เราอาจจะตื่นขึ้นมาเป็นอัมพาต แล้วต้องนอนรอความตายไปเรื่อย
ๆ เพราะขาดน้ำขาดอาหาร กรี๊ดดดดดด
เพราะฉะนั้นพอเราตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้
แล้วพบว่าตัวเองยังกระดิกตัวได้อยู่ เราก็เลยดีใจมาก
แล้วก็ออกจากโรงพยาบาลไปพบแพทย์ที่ผ่าตัดเรา คุณหมอเปิดดูแผลของเรา
แล้วก็พบว่าแผลมันแยกตรงด้านล่าง ก็เลยต้องใช้ max stapler เย็บที่แผลไปอีกสองอัน
แต่แผลไม่ได้ติดเชื้อแต่อย่างใด
เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมแผลถึงแยก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราเหงื่อออกง่ายหรือเปล่า หรือเป็นเพราะว่าเมื่อวันจันทร์เราออกไปดูหนัง
3 เรื่อง นี่คงเป็นความผิดของ Jessica Hausner สินะ 55555 แต่จริง ๆ
แล้วเราเห็นเลือดมันซึม ๆ ออกมาตั้งแต่วันอาทิตย์แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วแผลน่าจะแยกตั้งแต่ตอนก่อนที่เราจะออกไปดูหนัง
3 เรื่องในวันจันทร์
เราก็ดีใจที่แผลไม่ติดเชื้อ
แต่การต้องเย็บ max
stapler ที่แผลใหม่ก็หมายความว่า แผลเราคงจะหายช้าลงไปอีก และเราก็คงต้องเลื่อนเวลาสำหรับการที่เราจะให้ผู้ชายเย็ดเราแรง
ๆ ออกไปอีกสิเนี่ย โอ๊ย
Favorite Scene
14 อีกครั้ง I
LOVE YOU THOUSAND (2023, Nareubodee Wetchakam, A+30)
จริง ๆ แล้วอันนี้เราไม่ได้ชอบเป็นซีน
แต่ชอบ “ซับพล็อต” มากกว่า เพราะเราชอบการใส่ซับพล็อต “ผีครูฝรั่งที่ตกน้ำตาย”
เข้ามาในหนัง romantic comedy อย่างในหนังเรื่องนี้อย่างสุด
ๆ
คือเรารู้สึกว่าการที่หนังเรื่องนี้ทำแบบนี้
มันสอดคล้องกับมุมมองของเราที่มีต่อชีวิตเราเอง หรือต่อชีวิตมนุษย์น่ะ คือเราไม่ได้นึกถึง
“เรื่องผี ๆ” หรือ “เรื่องเหนือธรรมชาติ” ตลอด 24 ชั่วโมงในแต่ละวันน่ะ แต่ตัวเราเองอาจจะนึกถึงเรื่องผี
ๆ ราว 15-30 นาทีต่อวันน่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยโหยหาหนังที่ใส่ “เรื่องผี ๆ เรื่องน่ากลัว
เรื่องเหนือธรรมชาติ” เข้ามาในฐานะที่มันเป็น 5-10% ของชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่ว่าพอมี “ผี” ในหนังเรื่องใดก็ตาม
แล้วมันจะต้องเป็น “พล็อตหลัก” มันจำเป็นจะต้องเป็น “หนังสยองขวัญ” หรือผีจำเป็นจะต้องเป็น
“ตัวละครสำคัญ” เสมอไป เพราะเรารู้สึกว่า “ผี” หรือ “เรื่องเหนือธรรมชาติ” มันคือ
5-10% ของชีวิตเรา (แต่อาจจะไม่ใช่แบบนี้สำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องผี)
มันไม่ใช่ 100% ของชีวิตเรา เพราะฉะนั้น “หนังผี” หรือ “หนังสยองขวัญ”
ที่มันให้ความสำคัญกับผี 100% เต็มไปเลย
มันก็ไม่ได้สะท้อนภาพชีวิตเราโดยรวม และ “หนังชีวิต” หรือ “หนัง genre อื่น ๆ” ที่ไม่มีผีอยู่ในหนังเลย
มันก็ไม่ได้สะท้อนภาพชีวิตเราอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เช่นกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่มีหนังเรื่องไหนที่สามารถสะท้อนชีวิตมนุษย์ได้ครบทุกด้านในหนังเรื่องเดียวอยู่แล้วล่ะ
แต่เราก็โหยหาหนังที่สะท้อนชีวิตมนุษย์ “หลาย ๆ ด้าน” ในหนังเรื่องเดียวกัน
ซึ่งรวมถึงการที่ผีหลอกวิญญาณหลอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหรือส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันด้วย
แต่ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุดของชีวิตเท่านั้นเอง
เราก็เลยชอบการมี subplot เรื่องผีครูฝรั่งที่ตกน้ำตายใน “14 อีกครั้ง”
อย่างสุด ๆ คือถ้าหากอันนี้มันเป็น main plot ไปเลย
เราก็จะไม่ชอบมัน หรือถ้าหากมันเป็นส่วนหนึ่งในหนัง horror หรือ
comedy horror เราก็จะไม่ชอบมัน
เราชอบฉากนี้ก็ต่อเมื่อมันเป็น “fragment หนึ่งของชีวิตมนุษย์”
แบบในหนังเรื่องนี้
ฉากผี ๆ ที่เป็น “fragment หนึ่งของชีวิตมนุษย์” ในหนังเรื่องอื่น ๆ
ที่เราชอบมาก ๆ ก็มีเช่น
1.KILLERS OF THE FLOWER MOON (2023, Martin Scorsese) ฉากวิญญาณชาว
Osage มารับคนตาย
2.LA MALADIE DE SACHS (1999, Michel Deville, France)
ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ
เหมือนหนังทั้งเรื่องเป็น fragments ของชีวิตพระเอกหมดเลย นำเสนอเศษเสี้ยวต่าง ๆ ในชีวิตของพระเอก และราว 5%
ของหนังก็พูดถึง “ผี” ในชีวิตพระเอก เพราะมันมีฉากที่มีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาที่คลินิกของพระเอกแทรกเข้ามาในหนังเป็นระยะ
ๆ แล้วตัวละครก็ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ลึกลับนี้มาจากไหน จนกระทั่งมาเฉลยในฉากหลัง ๆ
ว่าเป็น “ผี” โทรมา เราก็เลยชอบสุดขีดที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ “ผี” ในฐานะ 5%
ในชีวิตของพระเอก ไม่ใช่แบบในหนังสยองขวัญที่ผีจำเป็นจะต้องเป็น “ประเด็นสำคัญ”
เสมอไป
FAVORITE SCENE
REDLIFE (2023, Ekalak Klunson, A+30)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
ฉากที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้
คือฉากที่ “เต๋อ” (Thiti Mahayotaruk) ตัดสินใจไม่ขับหนีด่านตำรวจ
แต่ตัดสินใจขับรถพุ่งชนด่านตำรวจแล้วรถก็ลงน้ำไปเลย เพราะเรารู้สึกเข้าอกเข้าใจหรือ
identify กับเต๋อในฉากนี้ได้มากที่สุด
คือจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ identify ตัวเองกับเต๋ออยู่แล้ว เพราะตัวละครตัวนี้ตัดสินใจตรงข้ามกับเราเกือบตลอดทั้งเรื่อง
5555 คือเต๋อเป็นตัวละครที่ “ตัดสินใจ” ตรงข้ามกับเราในเกือบ ๆ ทุกสถานการณ์ ซึ่งนั่นก็ทำให้เราถอยห่างจากตัวละครในระดับนึง
แต่เราก็รู้สึกว่าคนแบบนี้มันมีอยู่จริง
และก็ยินดีที่จะติดตามดูตัวละครตัวนี้ไปเรื่อย ๆ ในฐานะผู้สังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ
แต่ระยะห่างระหว่างเรากับเต๋อก็เปลี่ยนไป
เมื่อถึงฉากที่เต๋อถูกความโกรธ ความหึงหวง ความเหี้ยห่าอะไรต่าง ๆ
ในจิตใจเข้าครอบงำ จนควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป แล้วก็บุกเข้าไปในโรงแรมม่านรูด
ขโมยกุญแจรถยนต์ลูกค้าของ Mind (Karnpicha
Pongpanit) แล้วขับออกไปเรื่อย ๆ อย่างรุนแรงเพื่อระบายอารมณ์
จนกระทั่งมาเจอด่านตรวจตำรวจ และแทนที่เขาจะตัดสินใจหนีตำรวจ “ตามหลักเหตุผล” เขากลับตัดสินใจทำในสิ่งที่ดูเหมือนไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
ซึ่งก็คือการขับรถพุ่งเข้าชนด่านตรวจแล้วรถยนต์ทั้งคันก็ตกลงไปในคลอง
คือกลายเป็นฉากนี้นี่แหละที่เต๋อคงตัดสินใจคล้าย
ๆ กับเรา 555555 คือเหมือนสิ่งที่เต๋อตัดสินใจทำในฉากนั้นคือการ visualize “ด้านมืด” หรือ id หรือส่วนหนึ่งที่อยู่ในใจเราเองออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมน่ะ
เราก็เลยรักฉากนี้อย่างสุดขีดมาก ๆ คือเหมือนในการใช้ชีวิตของเราในแต่ละวัน
เราพยายามทำตัวตามหลักเหตุผล, คิดวางแผนชีวิตแต่ละวันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย plan steps ต่าง ๆ ล่วงหน้า, พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองตลอดเวลา,
ไม่ให้โลภะ โทสะ โมหะ เหี้ยห่าอะไรต่าง ๆ เข้าครอบงำจิตใจอะไรทำนองนี้
แต่เรารู้ตัวเราเองดีว่า มันเหมือนมีส่วนลึกในใจเราที่โหยหา
“การทำลายตนเอง”, “ความอยากที่จะทำให้ชีวิตตนเองพังพินาศอย่างถึงที่สุด”, “การทำในสิ่งที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง”,
“การทำตามอารมณ์โดยไม่แคร์เหตุผลหรือสิ่งอื่น ๆ ในชีวิตอีกต่อไป
ทำตามอารมณ์ตนเองแล้วก็ตายห่าไปเลยให้มันพ้น ๆ ไป” อะไรทำนองนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเราจะไม่มีวันปล่อยให้ส่วนนี้ในใจเราเข้ามาครอบงำมีอำนาจเหนือเราได้เป็นอันขาดในชีวิตจริง
อย่างไรก็ดี การที่เรามีส่วนนี้ฝังลึกอยู่ในจิตใจตนเอง มันก็เลยทำให้เรามีความสุขที่ได้เห็นตัวละครที่ทำอะไรแบบนี้อยู่บนจอภาพยนตร์
มันเหมือนกับว่าภาพยนตร์ที่มีตัวละครแบบนี้คือพยายามที่เข้าอกเข้าใจส่วนนี้ในจิตใจของเราน่ะ
หรือเหมือนกับว่าเราได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกมาผ่านทางตัวละครตัวนั้น ๆ แทนที่เราจะต้องทำมันในชีวิตจริง
เราก็เลยชอบฉากนั้นของเต๋อมาก ๆ เหมือนเรา
identify ตัวเองได้กับเต๋อในฉากนี้ ที่เหมือนเป็นการทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับเหตุผล
และเป็นการ self-destruct มาก ๆ แต่เราไม่ได้ identify
ตัวเองกับเต๋อในฉากอื่น ๆ
คือความรักของเราที่มีต่อฉากนี้ของเต๋อมันคล้าย
ๆ กับความชื่นชอบของเราที่มีต่อหนังเรื่อง BAISE-MOI
(2000, Virginie Despentes, Coralie Trinh-Thi) นะ แต่เราเหมือนรู้สึก
“เข้าอกเข้าใจ” การกระทำที่ไร้เหตุผลและ self-destruct ของตัวละครนางเอกทั้งสองคนใน
BAISE-MOI ตลอดทั้งเรื่องน่ะ
เราก็เลยรู้สึกใกล้ชิดกับตัวละครนางเอกของ BAISE-MOI ตลอดทั้งเรื่อง
แต่ในส่วนของเต๋อนั้น เรารู้สึกใกล้ชิดสุด ๆ ก็แค่ฉากนี้ฉากเดียวมั้ง
ในส่วนของ REDLIFE โดยรวมนั้น เราชอบหนังในระดับ A+30 หรือชอบสุดขีดนะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึก “มีอารมณ์ร่วม”
ไปกับหนังอย่างรุนแรงน่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เหมือนมันยังขาดอะไรบางอย่างที่จะทำให้เราอินกับหนังอย่างสุดขีดเหมือนอย่าง
BAISE-MOI และ ACCATTONE (1961, Pier Paolo Pasolini,
Italy)
NAK นาค
เรื่องเล่าจากชาวบ้าน (2023, Thailand/Laos, A+25)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
--
--
--
--
--
1. โดยรวมแล้วชอบหนังมากพอสมควร
แต่ไม่ได้ชอบถึงขั้น A+30 (ชอบสุดขีด) เพราะ
1.1 ความเชื่อความศรัทธาของเราอาจจะไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อหาบางช่วงของหนัง
1.2 เป็นเพราะมันเป็นเรื่องสั้น ๆ
มาต่อกัน อารมณ์ก็เลยไม่สามารถพัฒนาไปถึงขั้นพีคได้ แต่จริง ๆ แล้วความเป็นเรื่องสั้นมาต่อ
ๆ กันในหนังเรื่องนี้ก็ดีในแง่นึง เพราะเราว่าเนื้อหาของหลาย ๆ เรื่องพอมันเกี่ยวข้องกับความเชื่อเก่า
ๆ มันก็เลยมีความซ้ำไปซ้ำมา (พญานาคช่วยเด็กตกน้ำ, พญานาคมาร่วมรักกับมนุษย์)
หรือเป็นเรื่องที่เราพอรู้ ๆ มาอยู่แล้ว ซึ่งพอเนื้อเรื่องของบางเรื่องมันไม่ original แต่ว่ามันสั้น ๆ มันไม่ใช่หนังยาว มันก็เลยไม่น่าเบื่อมากนัก
1.3 หนังเรื่องนี้คงเน้นเชิดชูพญานาคเป็นหลัก
ก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องเล่าที่แสดงให้เห็นด้านลบของพญานาค อย่างเช่น
1.3.1 ตำนาน “หนองหาร”
1.3.2 เรื่องของ “กาฬนาคราช”
ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยพระกกุสันธพุทธเจ้า, พระโกนาคมพุทธเจ้า, พระกัสสปพุทธเจ้า
และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
https://84000.org/tipitaka/picture/f23.html
และพอหนังเรื่องนี้เหมือนหลีกเลี่ยงการนำเสนอตำนานที่อาจแสดงด้านลบของพญานาค
มันก็เลยเหมือนหนังมันขาดอะไรบางอย่างไปสำหรับเรา
2.ความรู้สึกของเราที่มีต่อแต่ละตอน
2.1 มนุสโสสิ (ศุภวัฒน์ หงสา, A+25)
ตอนแรกก็สงสัยว่าจะเล่าอะไร
เพราะเรื่องพญานาคพยายามจะบวช เป็นเรื่องที่เรารู้ดีอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าหนังก็แต่งเรื่องเพิ่มเติม
และคิด plot twist อะไรออกมาได้ดีพอสมควร
พญานาคก็หล่อดี ไม่รู้ว่านักแสดงที่เล่นเป็นพญานาคชื่ออะไร
2.2 แม่ นาค (วีรพล คำสุวรรณ, A-)
พระเอกตอนนี้หล่อถูกสเปคเราสุด ๆ
เขาชื่ออะไรคะ 555 แต่เราชอบตอนนี้น้อยสุดนะ
เพราะความเชื่อความศรัทธาของเราไม่สอดคล้องกับตอนนี้น่ะ เพราะเราไม่ได้เชื่อเรื่อง
“การเกาะชายผ้าเหลือง” แต่ก็ยังดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ยืนยันว่า “ความเชื่อดังกล่าวเป็นความจริง”
หนังเรื่องนี้เพียงแค่นำเสนอตัวละครที่มีความเชื่อค่อนไปในทางนั้น
เราก็เลยไม่ได้ต่อต้านหนังเรื่องนี้มากนัก
2.3 ขวัญ (กันสุดา คำมณีวง, A+)
เหมือนเรางง ๆ กับเนื้อเรื่องของตอนนี้
เราก็เลยไม่ได้ชอบมันมากเท่าที่ควร
แต่ฉากที่นางเอกร้องไห้กลางแม่น้ำนี่หนักมากจริง ๆ ฉากนั้นถือเป็นสิ่งที่ชอบสุด ๆ
ในตอนนี้
2.4 อัณฑชะ (นคินทร์ สิงห์จัตุรัส, A+25)
ชอบที่มัน twist ไปจากที่เราคาดไว้ เพราะตอนแรกเรานึกว่า หนุ่มสาว
3 คนจะต้องเจออิทธิฤทธิ์พญานาคตามไล่ล่า ส่งงูเงี้ยวเขี้ยวขอมาสังหารพวกที่คิดขโมยไข่พญานาคไป
แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่า พวกเขาเหมือนตกเป็นเครื่องมือของพญานาค
ชอบตัวละครสาวลึกลับเป็นอย่างมาก เราถูกโฉลกกับตัวละครประเภทนี้
2.5 นาคาแมน (โสภา เที่ยงเดช, A+25)
เอาจริง ๆ แล้วเนื้อเรื่องหรือ concept มันคล้าย ๆ “หนังนักศึกษา” บางเรื่อง 5555
ที่ไม่ต้องการความสมจริง ความ convincing แต่เป็น “ความบันเทิง”
ที่ต้องอาศัย suspension of disbelief มาก ๆ
แต่เนื่องจากเราคุ้นชินกับหนังนักศึกษาทำนองนี้อยู่แล้ว เราก็เลยมองข้ามความไม่
convincing ของมันได้ และก็ชอบที่มัน “หลุดโลก” ไปเลย
เหมือนไม่ต้องแคร์ความสมจริงอะไรใด ๆ อีกต่อไป 555
ตัวอย่างความไม่สมจริงก็คือ “ใส่หน้ากากแบบนั้น
คนมันจะดูไม่ออกเหรอว่าตัวจริงเป็นใคร” แต่มันคือ “ภาพยนตร์” ไม่ใช่ “เรื่องจริง”
อยู่แล้ว เราก็เลยรู้สึกว่ามันน่ารักติงต๊องดี และนึกถึงละครทีวีฮ่องกงในอดีตบางเรื่องที่ชอบมีตัวละคร
“ปิดหน้าปิดตา” เวลาไปลอบส้งหารคน แต่ใช้ผ้าปิดหน้าปิดตาที่บางจ๋อยมาก ๆ เหมือนปิดหน้าปิดตาแบบพอเป็นพิธีเท่านั้น
เพราะถ้าทำแบบนั้นในความเป็นจริง ทุกคนก็ดูออกว่าเป็นใครที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้านั้น
555
พระเอกตอนนี้ก็น่ารักมาก ๆ เช่นกัน
อยากรู้ว่าเขาชื่ออะไร
2.6 บั้งไฟผี (ทิฏฐานุ นาคเสน, A+25)
เหมือนเป็นหนังที่เปิดให้ตัวละครมาถกกันเรื่อง
“บั้งไฟพญานาค” และหนังก็ลงเอยไปในทางที่บอกว่า “บั้งไฟพญานาค” มีจริง แต่เราว่าหนังรักษาสมดุลได้ค่อนข้างดี
เพราะว่า “ตัวละครนักเรียน” กลุ่มที่ยืนยันว่าบั้งไฟพญานาคมีจริง ก็เป็นตัวละครที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อหลอกเพื่อน
ๆ และหนังก็แสดงให้เห็นว่า มีชาวบ้านที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อหลอกคนนอกหมู่บ้านด้วย
เพราะฉะนั้นหนังก็เลยเหมือนบอกกลาย ๆ ว่า พญานาคอาจจะมีจริงก็ได้ แต่ปาฏิหาริย์บางอย่างเกี่ยวกับพญานาคอาจจะเป็นเรื่องที่คนบางคนกุขึ้นมา
2.7 ลงรักปิดทอง (ยศพงษ์ ผลทรัพย์, A+25)
เราชอบครึ่งเรื่องแรกอย่างสุด ๆ คือเปิดมาเป็นเรื่อง
“เมียกำนัน ปะทะกับแม่ค้าขายผัก เรื่องสิทธิในการลงรักปิดทองในงานพิธี”
แค่นี้ก็ได้ใจเราแล้ว และครึ่งเรื่องแรกเราว่ามันเป็นแนว “คำพิพากษา” ของชาติ
กอบจิตติมาก ๆ ด้วย มันก็เลยเข้าทางเราอย่างสุด ๆ
ส่วนครึ่งเรื่องหลังทำให้นึกถึง “นาคราช”
ของแก้วเก้า
2.8 คนละฟ้า (สุริยง ชัยวงศ์, A+25)
กรี๊ดสุดเสียงให้กับพระเอกของตอนนี้
หล่อตรงสเปคเราที่สุด ชอบคนนี้มากที่สุดในเรื่อง ฉันรักเขา
ตอนแรกที่ดู เราจะงง ๆ
กับฉากการเกณฑ์ทหารมาก ๆ เพราะเหมือนเราไม่เคยเห็นการเกณฑ์ทหารในรูปแบบนี้มาก่อน
แต่พอเห็น ending credit แล้วรู้ว่าเป็น
“หนังลาว” ก็เลยเข้าใจ และเราก็เลยแอบจินตนาการว่า บางที “สงคราม”
ที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ อาจจะเป็นสงครามเดียวกับที่อยู่ในหนังเรื่อง “บัวแดง” RED
LOTUS (1988, Som-ok Southiphone, Laos, 81min, A+30) หรือเปล่า
No comments:
Post a Comment