Wednesday, November 15, 2023

DOCUMENTARIES ABOUT HOSPITALS IN THAILAND

 

Films seen in the 38th week of the year 2023 (17-23 Sep)

1.HAUNTING OF THE QUEEN MARY (2023, Gary Shore, horror, A+30)

2.EL SUR (1983, Victor Erice, Spain, A+30)

3.MONSTER (2023, Hirokazu Koreeda, Japan, queer, A+30)

 

4.HONEY SWEET (2023, Lee Han, South Korea, A+30)

 

5.NOTHING BUT FINGERS (2023, Moe Satt, Myanmar, video installation, A+30)

6.A HAUNTING IN VENICE (2023, Kenneth Branagh, A+30)

7.IMMERSION (2023, Takashi Shimizu, Japan, horror, A+30)

 

8.RASCAL DOES NOT DREAM OF A SISTER VENTURING OUT (2023, Soichi Masui, Japan, animation, A+30)


9.LOST IN THE STARS (2022, Rui Cui, Xiang Liu, China, A+25)

 

10.KUMARN กุมาร (2023, Thitipan Raksasat, horror, A+15)

11.IMMORTAL SPECIES อมตะพันธุ์สยอง (2023, Jetnipat Sasing, horror, A+)

12.A TIME TO FLY บินล่าฝัน (2022, Saksiri Kochpatcharin, B+ )

13.RETRIBUTION (2023, Nimrod Antal, B+ )

สรุปว่า ใน 38 สัปดาห์แรกของปีนี้ เราดูหนังไปแล้ว 602+13 = 615 เรื่อง แต่เป็นหนังสั้นหลายเรื่อง

 

TRIPLE BILL FILM WISH LIST

 

ชอบหนังเรื่อง HOW WE SAY GOODBYE (2023, ธันยชนก อภิสัมโพธิ์กุล, 29min, A+30) มาก ๆ ที่เป็นเรื่องของสองสาวที่เพิ่งเรียนจบจากมหาลัย เราเข้าใจว่าเป็น roommate หรือเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ทั้งสองกำลังจะแยกทางกันไปใช้ชีวิตของตนเอง คนนึงเก็บของออกจากหอพัก เพื่อจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ

 

รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เหมาะจะฉายควบกับหนังอีก 2 เรื่องมาก ๆ ซึ่งได้แก่

 

1.LEAVING ON THE CAR (2021, Nacha Daoruang นัชชา ดาวเรือง, 26min, A+30) ที่เป็นเรื่องของสองสาวเพื่อนสนิทที่คนนึงกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกัน เพราะเราว่าหนังทั้งสองเรื่องนี้นำเสนอความรักความผูกพันระหว่างเพื่อนสนิทสองคนได้ดี บวกกับความเศร้าที่เพื่อนคนนึงกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ เพียงแต่ว่าในกรณีของ LEAVING ON THE CAR นั้น “การแยกทางกันไป” นำมาซึ่งการทะเลาะตบตีกันอย่างรุนแรง ไม่ได้นำมาซึ่งความเศร้าซึ้งอาลัยเป็นหลักแบบใน HOW WE SAY GOODBYE

 

2.NICE TO MEET YOU (2005, Tossapol Boonsinsukh, 25min, A+30)

 

เราว่า NICE TO MEET YOU ในแง่นึงอาจจะเป็นเหมือนกับ “ภาคต่อ” ทางอารมณ์ของ HOW WE SAY GOODBYE เพราะว่าถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด หนังเรื่อง HOW WE SAY GOODBYE ถ่ายที่ม.ธรรมศาสตร์ รังสิตหรือเปล่า คือเหมือนมันมีบางฉากใน HOW WE SAY GOODBYE ที่เพื่อนสนิทสองคนเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้วยกันในมหาลัยหลังเรียนจบใหม่ ๆ  เพื่อรำลึกถึงความทรงจำดี ๆ ที่ทั้งสองเคยมีร่วมกันสมัยเรียนในมหาลัย

 

ส่วน NICE TO MEET YOU นั้นเล่าเรื่องของชายหนุ่มหญิงสาวสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งสองเดินเตร็ดเตร่ในมหาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และรำลึกถึงความหลังของทั้งสองสมัยที่เพิ่งเข้ามาเป็นนิสิตใหม่ ๆ

 

เราก็เลยรู้สึกว่าเนื้อหาใน NICE TO MEET YOU นั้นเหมือนเป็นภาคต่อของ HOW WE SAY GOODBYE มาก ๆ เพราะมันมีความเป็นไปได้ที่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นางเอกของ HOW WE SAY GOODBYE ก็คงเรียนจบปริญญาโทแล้ว และเธอคงบินกลับมาเยี่ยมแม่และเยี่ยมเพื่อน ๆ ที่กรุงเทพ เธอคงจะนัดเจอกับเพื่อนสนิทของเธอที่ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต และเธอคงจะมาเดินเตร็ดเตร่ในมหาลัยกับเพื่อนสนิทของเธอ และรำลึกถึงความหลังของทั้งสองสมัยที่เพิ่งรู้จักกันตอนเข้ามาเป็นนิสิตใหม่ในมหาลัย เหมือนกับที่ตัวละครใน NICE TO MEET YOU ทำกัน

 

TRIPLE BILL FILM WISH LIST

 

รู้สึกว่าหนังเรื่อง REDLIFE (2023, Ekalak Klunson, A+30) เหมาะจะฉายควบกับหนังอีก 2 เรื่องมาก ๆ ซึ่งได้แก่

 

1.ANONYMOUS IN BANGKOK (2016, Sineenat Kamakot, documentary, A+30)

 

สารคดีที่สัมภาษณ์โสเภณีที่มีความสุขกับชีวิต ซึ่งถ้าหากเราจำไม่ผิด หนังสารคดีเรื่องนี้ถ่ายที่วงเวียน 22 กรกฎา

 

ชอบเนื้อหาของหนังสารคดีเรื่องนี้อย่างสุดขีดมาก ๆ เพราะโสเภณีที่ให้สัมภาษณ์ในหนังเรื่องนี้มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่เธอหาเงินได้มากกว่าสาวออฟฟิศ และเธอมีความสุขมาก ๆ ที่เธอ “ได้เอากับผู้ชายหลายคนแล้วได้ตังค์ด้วย” และเธอก็มีความสุขที่เธอไม่ต้องคอยดูแลปรนเปรอผัวแบบผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่มีสถานะเป็น “แม่บ้าน” 

 

เราเคยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ที่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10210586945293202&set=a.10210385200369705

 

2.สูงวัยให้บริการ AN OLD PROSTITUTION (2020, Suphisara Kittikunarak, documentary, A+30)

 

สารคดีที่สัมภาษณ์โสเภณีสูงวัยในกรุงเทพ ซึ่งพอเราเห็นตัวละครของคุณกรองทอง รัชตะวรรณใน REDLIFE เราก็เลยนึกถึงหนังสารคดีเรื่องนี้มาก ๆ ดูหนังสารคดีเรื่องนี้ได้ที่

https://www.youtube.com/watch?v=6wyMV-x1oug

 

QUADRUPLE BILL FILM WISH LIST

 

รู้สึกว่าหนังเรื่อง I’M FEELING GOOD (2023, ฉัตรชนก ศศิชานนท์, 54min, A+30) เหมาะฉายควบกับหนังอีก 3 เรื่องที่พูดถึง “ความกดดันในที่ทำงาน office” จนเกิดเป็นภาพหลอน หรือจนเกิดฆาตกรโรคจิต เหมือน ๆ กัน โดยหนังอีก 3 เรื่องนี้ได้แก่

 

1.PROJECT M31 (2020, Panuschakorn Samrongthong, 33min, A+30)

 

2.OFFICE (2015, Hong Won-chan, South Korea)

 

3.OFFICE KILLER (1997, Cindy Sherman)

 

TRIPLE BILL FILM WISH LIST

 

หนี่งในสิ่งที่เราชอบอย่างสุด ๆ ในเทศกาลหนังสั้นมาราธอน ก็คือการที่หนังในเทศกาลนี้มาจากผู้กำกับที่หลากหลายทั่วสังคมไทย หนังบางเรื่องก็เลยช่วยกันเติมเต็มภาพของสังคมไทยให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น หรือหนังบางเรื่องก็เลยเหมือนมีบทสนทนาต่อกันโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่นหนัง 3 เรื่องนี้

 

1.THE PATHOLOGIST (ธีรพล อำไพ, documentary, 5min, A-)

 

สารคดีที่เราว่าจริง ๆ แล้วมันคือโฆษณาของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สร้างจากเรื่องจริงของแพทย์ที่ตรวจเนื้อเยื่อเพื่อวินิจฉัยโรคของคนไข้ แต่อยู่มาวันหนึ่งเธอก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเสียเอง

 

ถ้าหากมองในแง่ของโฆษณาแล้ว นี่ก็เป็นโฆษณาที่ประสบความสำเร็จนะ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความถึงพร้อมของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่พร้อมจะดูแลคนไข้ด้วยบุคลากรที่มีความสามารถมากมาย, อุปกรณ์ครบครัน และพร้อมที่จะดูแลคนไข้ต่างชาติได้เป็นอย่างดีด้วย คือถ้าหากใครมีเงินมากพอ แล้วได้เห็นโฆษณาชิ้นนี้ ก็อาจจะอยากลองพิจารณาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นหนึ่งในตัวเลือกในการเข้าไปรักษา

 

2.MEDICAL PARTHENOGENESIS (โมกข์ เชื้อภักดี, documentary, A+30)

 

สารคดีที่สะท้อนความขาดแคลนบุคลากรและอุปกรณ์ของโรงพยาบาลในต่างจังหวัดของไทย

 

3. HELPCARE: ใกล้บ้าน THE 1ST LINE (ธัชพร ตั้งตระกูล, documentary, 51min, A+30)

 

สารคดีที่ตีแผ่สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างสุด ๆ ของ “รพ. สต.” หรือ “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล” ในประเทศไทย คือเราดูแล้วช็อคมาก ๆ เพราะเราไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน และนึกไม่ถึงว่าสถานการณ์มันจะวิกฤติรุนแรงขนาดนี้

 

คือเหมือนรพ. สต. เหล่านี้ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาล แต่หลายแห่งมันเป็นโรงพยาบาลที่มีแต่ “พยาบาล” และแทบไม่มีแพทย์ประจำอยู่เลย และจำนวนพยาบาลก็มีไม่เพียงพอด้วย เหมือนกับว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นศูนย์อนามัยที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลเท่านั้นเอง หนักที่สุด

 

คือถ้าหากเราไม่ได้ดูหนังสารคดีเรื่อง HELPCARE นี้ แล้วดูแต่หนังโรง เราก็อาจจะนึกว่า รพ.สต.เหล่านี้เป็น “romantic places” นะ คือเห็นแล้วนึกถึงสถานที่ทำงานของ “หมอปลาวาฬ” ในไทบ้านเดอะซีรีส์น่ะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าสถานที่ทำงานของหมอปลาวาฬในไทบ้านเดอะซีรีส์มีสถานะเป็นอะไรกันแน่

 

ในหนังเรื่อง “นาค เรื่องเล่าจากชาวบ้าน” ตอน “นาคาแมน (2023, โสภา เที่ยงเดช, A+25) นั้น หนังเรื่องนี้ก็เล่าเรื่องราวของแพทย์สาวจากกรุงเทพ ที่มาทำงานที่รพ.สต. และพบรักกับหนุ่มชนบทเช่นกัน

 

เราก็เลยรู้สึกว่า หนังสารคดี 3 เรื่องในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนนี้มันเหมือนสนทนากันโดยไม่ได้ตั้งใจ และมันสะท้อนภาพความหลากหลายของโรงพยาบาลในไทยได้ดี เราได้เห็นสภาพของทั้งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และรพ.สต.ในเทศกาลภาพยนตร์เดียวกัน และมันก่อให้เกิดความรู้สึกที่หนักมาก ๆ สำหรับเราในขณะที่ดู

 

ปีที่แล้วเราก็รู้สึกแบบเดียวกันนี้นะ ตอนดูหนังสารคดีเรื่อง HOME 101 (2022, Chewin Waneloh, A+30) ที่พูดถึงครอบครัวครอบครัวหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งมาเป็นเวลานานหลายสิบปี และผูกพันกับคนในชุมชนนั้น ๆ มาก ๆ จนกระทั่งครอบครัวนั้นถูกไล่ที่ เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน พวกเขาก็เลยไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมที่อยู่กันมานานหลายสิบปีได้

 

แล้วหนังสารคดีเรื่อง HOME 101 นี้ ก็ฉายในวันเดียวกับวันที่การฉายหนังสารคดีหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับ “บ้านโบราณที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก” ซึ่งบ้านที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของคนรวย พวกเขาก็เลยมีเงินบูรณะรักษาสมบัติทางสถาปัตยกรรมเหล่านี้เอาไว้ได้ (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วที่อนุรักษ์เอาไว้)

 

จำได้ว่าตอนดู HOME 101 เราไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่พอดูหนังสารคดีเกี่ยวกับ “บ้านของคนรวย” หลาย ๆ เรื่องติดกัน แล้วเราย้อนคิดไปถึง subjects ของ HOME 101 เราก็ร้องไห้ออกมา เราเคยเขียนถึงประเด็นนี้ไว้แล้วที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10231393931534854&set=a.10230383642238253

 

 

 

 

เพิ่มเติมรายชื่อหนังที่มีอะไรใกล้เคียงกัน แล้วออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกันโดยบังเอิญ

 

51.MAD FATE (2023, Soi Cheang, Hong Kong, A+30)

+ PROJECT-A (ASPHYXIA) (เกริกฤทธิ์ คำเก่ง, 23min, A+30) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏ สุรินทร์

 

เราไม่แน่ใจว่า PROJECT-A (ASPHYXIA) เป็นหนังปี 2022 หรือ 2023 แต่ดูแล้วเหมาะฉายควบกับ MAD FATE มาก ๆ เพราะตัวละครพระเอกของ PROJECT-A (ASPHYXIA) เป็นชายหนุ่มที่ struggling กับความเป็นฆาตกรโรคจิตในใจตัวเอง และเขาเคยฆ่าแมวในวัยเด็กด้วย ซึ่งเหมือนกับตัวละครเอกของ MAD FATE มาก ๆ โดยหนังทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้ treat ตัวละคร “ชายหนุ่มผู้ต่อสู้กับความเป็นฆาตกรโรคจิตในใจตัวเอง” นี้ในฐานะผู้ร้ายที่ต้องถูกพระเอกคนดีมาตามปราบ แต่ treat มันในฐานะ anti-hero อะไรแบบนั้นมากกว่า

 

เราเคยเขียนถึง MAD FATE ไว้แล้วที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10232626676312703&set=a.10230383642238253

 

52. PANARE, SHIP ON THE SHORE ปะนาเระ เรือเล็กอาจจะไม่ได้ออกจากฝั่ง (2023, Naphat Wesshasartar, documentary, A+30)

+ PATA TARE’ ปาตา ตาเระ (2023, มุสลิมีน อาลีมามะ, documentary, 11min, A+30)

 

เรามีอายุ 50 ปีแล้ว แต่เราไม่เคยได้ยินชื่ออำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานีมาก่อน แต่อยู่ดี ๆ ในปีนี้ก็มีหนังสารคดีเกี่ยวกับปะนาเระออกมาพร้อมกัน 2 เรื่อง นึกว่าใจตรงกันโดยบังเอิญ โดยหนังสารคดีทั้งสองเรื่องนี้พูดถึงปัญหาของชาวประมงในปะนาเระเหมือนกัน โดยที่ PANARE, SHIP ON THE SHORE เน้นพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมง ส่วน PATA TARE’ บอกว่ามีหลายปัจจัย (ซึ่งรวมถึงสิ่งแวดล้อม, กฎหมาย) ที่ส่งผลให้เด็กรุ่นใหม่อาจไม่สืบทอดอาชีพประมงต่อจากบรรพบุรุษ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ “ดูหลำ” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาในการฟังเสียงปลาไม่ได้รับการถ่ายทอดต่อคนรุ่นหลัง ๆ และมันอาจจะหายสาบสูญไปได้

 

เราเคยเขียนถึง PANARE, SHIP ON THE SHORE ไว้แล้วที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10231030127199973&set=a.10230383642238253

 

ฉันรักเขาอย่างรุนแรงค่ะ Johnny Phuongsouvanh from NAK นาค เรื่องเล่าจากชาวบ้าน ตอน “นาคาแมน (2023, โสภา เที่ยงเดช, A+25)

No comments: