BOYCHOIR (2014, François Girard, A+15)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.อยากฉายหนังเรื่องนี้ควบกับ SHOWGIRLS (1995, Paul Verhoeven) เพราะเราชอบพล็อตประเภทการตบตีกันเพื่อแย่งชิง “บทนำ” ในทั้งสองเรื่องนี้ แต่เราชอบตอนจบแบบของ
SHOWGIRLS มากกว่า BOYCHOIR
2.ถ้าหนังลดการให้ความสำคัญกับ “ดราม่าชีวิตตัวละครลง” และหันไปสำรวจวงการของนักร้องประเภทนี้
หรือสถานศึกษาของนักร้องประเภทนี้ แบบที่หนังของ Frederick Wiseman ทำ
หรือให้ความสำคัญกับความพยายามในการร้องเพลงต่างๆของนักร้องประเภทนี้ แบบที่ LITTLE
FOREST: SUMMER/AUTUMN (2014, Junichi Mori, A+30) ให้ความสำคัญกับการทำอาหารจานต่างๆ
เราคงชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30
คือตอนที่ดู BOYCHOIR เราจะนึกถึง LITTLE FOREST ในแง่ที่ว่า จุดนึงที่เราชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้เหมือนๆกัน
คือมันเป็นหนังที่นำเสนอความงดงามของ “กิจกรรมเฉพาะทาง”
บางอย่างที่เราไม่มีความรู้หรือไม่เคยสนใจมาก่อนน่ะ เราชอบ LITTLE FOREST มากเพราะเราทำอาหารไม่เป็น แต่ LITTLE FOREST นำเสนอความงดงามของการทำอาหารให้เราได้ดูได้อย่างเพลิดเพลินสุดๆ
และได้ความรู้ไปด้วย ส่วน BOYCHOIR นั้นเราก็ชอบมาก
เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องดนตรีประเภทนี้มาก่อน
และแทบไม่เคยได้ฟังดนตรีประเภทนี้เลยด้วย แต่พอเราได้ฟังจากหนังเรื่องนี้
เราก็รู้สึกว่ามันไพเราะมาก และเพลิดเพลินมากๆ
เราว่าหนังนำเสนอความงดงามของดนตรีประเภทนี้ให้แก่คนที่ไม่มีความรู้อย่างเราได้ดีมากๆเลยน่ะ
อย่างไรก็ดี สาเหตุสำคัญอันนึงที่ทำให้เราชอบ LITTLE FOREST ในระดับ
A+30 แต่ชอบ BOYCHOIR ในระดับ
A+15 เพราะ LITTLE FOREST มันไปสุดทางของมันในการนำเสนอความงดงามของกิจกรรมเฉพาะทางของมันน่ะ
LITTLE FOREST ให้ความสำคัญกับการทำอาหารราว 80% และให้ความสำคัญกับดราม่าชีวิตตัวละครราว 10% ส่วน
BOYCHOIR เหมือนให้ความสำคัญกับความงดงามของดนตรีประเภทนี้ราว 50%
และให้ความสำคัญกับดราม่าชีวิตตัวละครราว 50% เพราะฉะนั้น
BOYCHOIR ก็เลยไม่สามารถ “ไปจนสุดทาง”
ได้ในความเห็นของเราในแบบเดียวกับ LITTLE FOREST และทำให้ความสุขของเราที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้ลดน้อยลง
3.ในส่วนของดราม่าชีวิตตัวละครนั้น เราก็มีทั้งจุดที่ชอบและไม่ชอบนะ
จุดที่เราชอบมากในดราม่าชีวิตตัวละครในหนังเรื่องนี้ก็คือ “มันเป็นสูตรสำเร็จแบบที่เราชอบมาก”
แต่จุดที่เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้แบบสุดๆก็คือ “มันก็ไปไม่สุดทางของมันเมื่อเทียบกับหนัง/ละครทีวี/หนังสือการ์ตูนที่ใช้สูตรสำเร็จแบบเดียวกัน”
คือเราชอบสูตรสำเร็จแบบในหนังเรื่องนี้มากน่ะ
เพราะเราเติบโตมากับอะไรแบบนี้ เวลาเราดู BOYCHOIR เราจะนึกถึงละครทีวีญี่ปุ่นเรื่อง
“ยอดหญิงชิงโอลิมปิก” และ “เงือกสาวจ้าวสระ” และนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง “ตากล้องที่รัก”,
“ยอดรักจอแก้ว”, “สู้เขามายูโกะ”, “หน้ากากแก้ว”, “หงส์ฟ้า”, etc.
คือในสูตรสำเร็จแบบนี้ เรามักจะเจอ
3.1 การนำเสนอวงการอะไรสักวงการอย่างจริงจัง
และทำให้เราได้รับความรู้หรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับวงการนั้น
หรือทำให้เราได้เห็นว่าคนในวงการนั้นใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง อย่างเช่นวงการวอลเลย์บอล,
วงการนักว่ายน้ำ, วงการช่างตัดผม, วงการพิธีกรรายการโทรทัศน์, วงการตากล้อง,
วงการละครเวที, วงการนักบัลเลต์, วงการออกแบบเสื้อผ้า ซึ่งใน BOYCHOIR ก็จะเป็นวงการนักร้องประสานเสียง
จุดนี้เป็นจุดที่เราชอบมากๆเกี่ยวกับสูตรสำเร็จประเภทนี้
คือเราว่าคนญี่ปุ่นที่สร้างละครทีวีแนวนี้หรือนักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นที่เขียนเรื่องประเภทนี้
ต้องค้นคว้าข้อมูลมากพอสมควรน่ะ ถึงจะเขียนเรื่องประเภทนี้ออกมาได้ และเราว่า BOYCHOIR ก็ทำจุดนี้ได้ดีพอๆกับละครทีวีญี่ปุ่นหรือการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราเคยอ่านหรือดูตอนเด็กๆ
ขั้วตรงข้ามของสิ่งที่เรากล่าวมาข้างต้น คือหนังไทยหรือหนังอินเดียบางเรื่อง
อย่างเช่นหนังไทยของพจน์ อานนท์ ที่บางเรื่องอาจจะมีการแข่งขันเต้นเชียร์ลีดเดอร์
หรือมีการแข่งขันวงดนตรี แต่หนังพวกนี้แสดงให้เห็นว่า คนสร้างหนังมันคงไม่ได้คิดจะหาความรู้หรือค้นคว้าหาข้อมูลอะไรเลย
ผู้ชมอย่างเราเลยแทบไม่ได้รับความรู้อะไรเกี่ยวกับวงการนั้นหรือคนที่อยู่ในวงการนั้นเลยจากการดูหนังประเภทนี้
3.2 ตัวเอกที่มีพรสวรรค์ โดยในกรณีของ BOYCHOIR นั้น
เราจะนึกถึง “หน้ากากแก้ว” มากๆในจุดนึง เพราะครูคนนึงในหนังกล่าวว่า “พระเอกใช้สัญชาตญาณ
ส่วนตัวอิจฉาใช้การวิเคราะห์” เราก็เลยนึกถึง “หน้ากากแก้ว”
เพราะในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนี้ นางเอกก็ใช้สัญชาตญาณ
ส่วนคู่แข่งของนางเอกก็ใช้การวิเคราะห์เหมือนกัน
3.3 ตัวเอกมีพรสวรรค์ก็จริง แต่จะมีปมปัญหาชีวิตครอบครัวอย่างรุนแรง
3.4 มีคนที่เห็นความสามารถพิเศษของตัวเอก
และพยายามผลักดันให้ตัวเอกเก่งขึ้นเรื่อยๆ
4.แต่จุดที่เราว่า BOYCHOIR แตกต่างจากสูตรสำเร็จประเภทนี้
และทำให้มันไปไม่สุด ก็คือว่า ในละครทีวีหรือหนังสือการ์ตูนที่ใช้สูตรสำเร็จแบบเดียวกันนั้น
ในช่วงท้ายของเรื่อง ตัวเอกจะก้าวไปถึงจุดสุดยอดไม่ได้ง่ายๆน่ะ ตัวเอกจะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
ต้องเจออุปสรรคอย่างรุนแรง ต้องคิดค้นหาวิธีต่างๆนานา
ต้องทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณของตัวเองอย่างลึกซึ้ง ถึงจะเกิดอาการประเภท
epiphany หรือ enlightenment ขั้นอุกฤษณ์ และก้าวไปถึงจุดสุดยอดได้
แต่ BOYCHOIR ขาดองค์ประกอบนี้ของ “สูตรสำเร็จ” ไปน่ะ
คือเรารู้สึกว่าพระเอกแทบไม่ได้ประสบความยากลำบากอะไรเลยในการร้องเสียง high
D ได้เหมือนคู่แข่ง หนังมันก็เลยจืดๆไปในจุดนี้เมื่อเทียบกับละครทีวี/หนังสือการ์ตูนที่ใช้สูตรสำเร็จแบบเดียวกัน
แต่เรื่องนี้มันคงจะเป็นความแตกต่างกันของแต่ละวงการนะ
เราเองก็ไม่มีความรู้เรื่องดนตรีแบบนี้
การที่ใครจะร้องอะไรแบบนี้ได้อาจจะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ทางร่างกายที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
มากกว่าเรื่องของ enlightenment หรือ epiphany แบบที่ใช้ในละครทีวี/หนังสือการ์ตูนเกี่ยวกับวงการอื่นๆ
5.เพิ่งรู้ว่า François Girard ชอบกำกับโอเปร่า
แต่เราว่าหนังของเขาดูไม่ค่อยเปรี้ยวปร้าวเท่าผู้กำกับภาพยนตร์คนอื่นๆที่ชอบกำกับโอเปร่านะ
อย่างเช่น Werner Schroeter, Christoph Schlingensief และ Patrice
Chéreau
6.ถ้าเทียบกับหนังชื่อคล้ายๆกันเรื่อง BOY’S
CHOIR (2000, Akira Ogata) แล้ว เราชอบหนังญี่ปุ่นมากกว่า
เพราะหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายด้วย มันก็เลยสนุกกว่า
หรือไปไกลกว่า
สรุปว่า เราชอบ BOYCHOIR มากพอสมควร
แต่เราว่าหนังให้น้ำหนักมากเกินไปกับดราม่าชีวิตตัวละคร เราว่าผู้กำกับควรทำหนังเรื่องนี้ให้ออกไปในแนว
Frederick Wiseman + LITTLE FOREST น่าจะดีกว่า
No comments:
Post a Comment