Monday, April 13, 2015

WHEN WE TALK ABOUT LOVE (2015, Panupong Chaiyo, A+20)

WHEN WE TALK ABOUT LOVE (2015, Panupong Chaiyo, A+20)
เล่ารัก (2015, ภาณุพงษ์ ไชยโย)

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
ความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้

1.ดีงาม ชอบมาก เราว่าหนังแบบนี้ทำยากพอสมควรนะ เพราะจุดเด่นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเล่าเรื่อง แต่เป็นการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของตัวละครออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากกว่าการเล่าเรื่องว่าใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไรอย่างไร และเราว่าหนังเรื่องนี้ทำได้ดีพอสมควรในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของตัวละครแม็กออกมา

2.ฉากที่เราชอบมากที่สุดในหนังคือฉากที่แม็กร้องไห้นี่แหละ เราว่าจังหวะของฉากนั้นทำให้ทุกอย่างมันออกมาดีมาก โดยก่อนหน้านั้นเราจะเห็นมือของแม็กจับสมุด เห็นหน้าของเขา ในห้องที่ยังมีแสงสว่างอยู่ แล้วก็เหมือนมีเสียงบรรยากาศของห้องที่ดังในระดับนึง แต่หลังจากนั้นหนังก็ตัดไปเป็นภาพแม็กจากระยะไกลหน่อย เพื่อเน้นให้เห็นว่าเขานั่งอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง, เสียงในห้องเงียบลง และแสงก็สลัวลงมาก และเราก็เห็นเขาค่อยๆร้องไห้ โดยที่เขาไม่ได้ทำหน้าตาเหยเกมากเกินไปแบบ overacting ด้วย

เราว่าฉากนี้ดีมากทั้งในแง่การแสดงและองค์ประกอบอื่นๆน่ะ เราว่ามันดีที่ช็อตนี้กับช็อตก่อนหน้านี้มันมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของเสียงและแสง เราว่าการที่เสียงในห้องมันเงียบลง และแสงในห้องมันสลัวลง มันมีส่วนช่วยขับเน้นอารมณ์ของคนดูได้ดีมากๆ มันเหมือนทำให้เราได้เข้าไปสัมผัสกับความเหงา ความเศร้าของตัวละครได้มากขึ้น ได้เข้าไปมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครได้มากขึ้น สรุปว่าช่วงซีนร้องไห้นี่ สุดยอดมากๆ ทั้งการแสดง, การกำกับ, การถ่ายภาพ, เสียง, แสง

3.ชอบความสลัวทั้งในฉากร้องไห้และฉากที่ทุ่งหญ้า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าบรรยากาศสลัวๆนี่เกิดจากการจัดแสง, การใช้ฟิลเตอร์ หรือการทำเอฟเฟคท์ภายหลัง แต่ความสลัวในบางฉากในหนังเรื่องนี้นี่มันสื่ออารมณ์ได้ดีมากๆ

4.เราว่าตอนจบมันก็ดีในแง่นึง ที่ตัดจบไปก่อนเลย ก่อนที่แม็กจะสารภาพรักออกไปหรืออะไรทำนองนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่คนดูหลายคนก็น่าจะเดาได้อยู่แล้วตั้งแต่นาทีที่ 4-5 (ฉากหนังสือโป๊เป็นฉากที่ทำให้เราเริ่มลุ้นว่าแม็กจะเป็นเกย์หรือเปล่า 555) เพราะฉะนั้นการตัดจบในตอนนั้นและการขึ้นชื่อหนังกับเพลง ending theme ในตอนจบจึงเป็นอะไรที่เราคิดว่าใช้ได้ในระดับนึง

5.การเล่าเรื่องเป็นห้วงๆ ไม่เล่าทั้งหมด และการเล่าเรื่องแบบตัดสลับกันไปมา มันก็ใช้ได้ดีเหมือนกันนะ มันช่วยกระตุ้นความสนใจดี และเราต้องตั้งใจดูเพื่อพยายามปะติดปะต่อเรื่องในระดับนึง

เราว่าคนทำหนังเรื่องนี้เลือก “ห้วง” ต่างๆมาเก่งมากด้วยนะ อย่างเช่น ห้วงตอนเจอกันครั้งแรกเวลามาสาย กับห้วงตอนที่ผู้หญิงอ่านเรื่องความรักหน้าชั้นเรียน

แต่เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ในแง่ของการเป็นหนังรักนั้น การเล่าเรื่องแบบตัดสลับกันไปมาแบบนี้จะเป็นวิธีการที่ work ที่สุดหรือเปล่า คือเราว่าหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีน่ะแหละ มีวิธีการตัดสลับเรื่อง, การปิดข้อมูล, การเปิดข้อมูลในภายหลัง, การตัดฉากคุยกันบนเตียงนอนออกเป็นหลายๆส่วน, การตัดสลับระหว่างโลกความจริงกับโลกจินตนาการ และเรียงร้อยทุกอย่างออกมาได้ดี

แต่เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าหากหนังเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงมากกว่านี้ โดยเน้นไปที่อารมณ์ความรู้สึกภายในของแม็กไปเลย เราอาจจะซึ้งสุดๆกับหนังมากกว่านี้หรือเปล่า แต่นี่เราพูดในแง่ที่เราเป็นคนดูที่เป็นเกย์นะ คือเรามองว่าสำหรับเราแล้ว เราอาจจะซึ้งกับหนังมากกว่านี้ ถ้าหากหนังประกาศตั้งแต่เปิดเรื่องไปเลยว่าแม็กเป็นเกย์ หรือสับสนว่าตัวเองเป็นเกย์หรือไบหรือเปล่า และหนังก็เน้นถ่ายทอดความอัดอั้นตันใจ, ความทรมานใจของแม็กที่แอบหลงรักเพื่อนชายตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง และจบด้วยฉากร้องไห้กับสมุด แต่ถ้าใช้วิธีการแบบนี้ หนังก็จะเปลี่ยนไปเยอะมากเลย และมันก็อาจจะกันคนดูที่เป็น straight ออกไปตั้งแต่ต้นเรื่องหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

สรุปว่า เราชอบวิธีการตัดสลับ, วิธีการเล่าเรื่องแบบไม่ธรรมดาของหนังเรื่องนี้มากในระดับนึงนะ เราว่ามันใช้ได้ดีพอสมควร แต่วิธีการแบบนี้ มันก็ทำให้เราไม่สามารถมีอารมณ์ร่วมอย่างเต็มที่ไปกับตัวละครได้แบบ 100% เหมือนกัน มันเหมือนได้อย่างเสียอย่างน่ะ คือเราชอบหนังเรื่องนี้มาก แต่เราก็ไม่ได้ซึ้งสุดๆไปกับมัน เราก็เลยไม่แน่ใจว่า “วิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดา” มันเป็นสาเหตุส่วนนึงหรือเปล่า

6.ฉากทุ่งหญ้า ที่เรามองว่ามันเหมือนเป็นโลกจินตนาการในหนังเรื่องนี้ เป็นฉากที่เรารู้สึกก้ำกึ่งเล็กน้อยนะ คือในแง่นึงเราอาจมองได้ว่า ฉากนี้ cliche มาก เพราะหนังนักศึกษาในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มันต้องมีฉากนางเอกอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าแบบนี้ทั้งนั้นเลย 555 แต่เราก็ไม่ได้มองว่าความ cliche นี้เป็นข้อเสียของหนังเรื่องนี้นะ เพราะถ้าหากหนังมันต้องการสะท้อนโลกจินตนาการของตัวละคร แล้วตัวละครเป็นเด็กวัยรุ่นไทยที่เติบโตมากับภาพคลิเช่ๆแบบนี้ (เราไม่แน่ใจว่าฉากทุ่งหญ้าแบบนี้มันชอบปรากฏอยู่ในมิวสิควิดีโอเพลงไทยหรือเปล่า) เพราะฉะนั้นโลกจินตนาการของตัวละครก็คงจะต้องออกมาเป็นภาพคลิเช่ไปด้วย คือถ้าตัวละครเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาที่เติบโตมากับการเสพสื่อธรรมดา โลกจินตนาการของตัวละครมันก็จะต้องเป็นฉากทุ่งหญ้าธรรมดาแบบนี้น่ะแหละ โลกจินตนาการของตัวละครมันคงไม่ออกมาเป็นฉากแบบหนัง Sergei Paradjanov หรืออะไรทำนองนี้หรอก 555

เพราะฉะนั้นถึงแม้ฉากทุ่งหญ้าอาจจะดู cliche ในแง่นึง แต่เราก็มองว่ามันมีเหตุผลของมันที่ต้องออกมาเป็นแบบนี้ เราก็เลยไม่ได้มองว่ามันเป็นข้อเสีย และในแง่นึงฉากนี้มันก็แตกต่างจากฉากทุ่งหญ้าในหนังนักศึกษาอีกหลายเรื่องด้วย คือในหนังนักศึกษาส่วนใหญ่ที่มีฉากแบบนี้ นางเอกต้องไว้ผมยาวแล้วใส่ชุดสีขาวฟูฟ่องหรือไม่ก็ชุดเซ็กซี่น่ะ คือเราว่าผู้กำกับส่วนใหญ่ที่ทำฉากแบบนี้เป็นผู้ชาย straight และต้องการนำเสนอภาพความบริสุทธิ์สดใสหรือความเซ็กซี่ของหญิงสาวในจินตนาการของเขา แต่ในเรื่องนี้หญิงสาวในทุ่งหญ้าไม่ได้ออกมาในภาพลักษณ์แบบนั้น เพราะฉะนั้นฉากทุ่งหญ้าในเรื่องนี้จึงเหมือนเป็นการพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนมาจากโลกจินตนาการของผู้ชาย straight อีกทีนึง 555


สรุปว่าดีมาก ชอบมากจ้ะ ฉากร้องไห้นี่สุดยอดมากๆ ชอบความละเอียดอ่อนในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมากๆ

No comments: