THE LOBSTER (2015, Yorgos Lanthimos, A+30)
ดูไปตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. แต่ไม่มีเวลาเขียนถึงเลย
ตอนนี้ลืมรายละเอียดในเรื่องไปเกือบหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นเราจะจดบันทึกแต่ความรู้สึกเท่าที่จำได้นิดๆหน่อยๆก็แล้วกัน
1.THE LOBSTER ถือเป็นหนังต่างประเทศที่เราชอบมากเป็นอันดับที่
33 ของปี 2015 สาเหตุนึงที่ชอบมากๆเพราะมันให้ข้อคิดดีๆกับเราเป็นการส่วนตัวน่ะ
นั่นก็คือมันทำให้เราคิดทบทวนว่า บางทีที่เรารู้สึก “เหงา” หรือ “อยากมีผัว” หรือ “อยากมีเมียเป็นหนุ่มหล่อ”
หรืออะไรทำนองนี้ มันเป็นสิ่งที่จิตใจและร่างกายของเราต้องการจริงๆ
หรือว่ามันเป็นผลจากมายาคติที่สังคมหลอกให้เรารู้สึกแบบนั้น
คือในหนังเรื่องนี้เราจะเห็นว่า บางทีคนเราก็ต้องการใครสักคนจริงๆน่ะ
อย่างเช่นการที่พระเอกทายาที่หลังตัวเองไม่ได้ มันต้องมีใครสักคนมาทายาที่หลังให้
มันทำให้เรานึกถึงตอนที่ตัวเองซื้อของใหญ่ๆมาจากห้างสรรพสินค้า
แล้วต้องแบกเข้าอพาร์ทเมนท์ของตัวเองอย่างทุลักทุเล
หรือเวลาที่เราป่วยเข้าโรงพยาบาล คือในเวลาแบบนั้นความรู้สึกอยากมีผัวมันก็จะพลุ่งพล่านขึ้นมา
หรือจริงๆไม่ต้องมีผัวก็ได้ แค่มีเพื่อนสนิทสักคนสองคนมาช่วยเหลือกันก็พอแล้ว
แต่บางทีความรู้สึกเหงามันก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากตัวเราจริงๆ
มันเกิดจากเราถูกสังคมหลอกโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของเรื่อง
ที่มีการสั่งสอนคนต่างๆนานาว่าการอยู่เป็นโสดเลวร้ายเพียงใด และมันก็ทำให้เรานึกถึงตัวเราเองด้วย
ยกตัวอย่างง่ายๆก็เช่น ก่อนที่เราจะเริ่มเล่นเฟซบุ๊คในปี 2008-2009 นี่
วันลอยกระทง+วันวาเลนไทน์ไม่เคยมีความสำคัญอะไรกับเราเลย
เพราะไม่มีใครใกล้ตัวเราที่แสดงออกในเชิงที่ว่า
เราต้องทำกิจกรรมกับคู่รักในวันดังกล่าว แต่พอเราเริ่มเล่นเฟซบุ๊ค
เราก็เริ่มรู้สึกเหงา เมื่อเห็นคำพูดในทำนองที่ว่า ได้ไปลอยกระทงกับคู่รัก
อะไรทำนองนี้ แล้วเราก็มาคิดทบทวนว่า เอ๊ะ ทำไมตอนกูอายุ 1-35 ปี กูไม่เคยรู้สึกเหงาในวันลอยกระทง
แล้วทำไมกูถึงเพิ่งมาเริ่มรู้สึกเหงาในวันลอยกระทงในช่วง 2-3 ปีมานี้ เพราะฉะนั้นไอ้ความรู้สึกเหงานี่
มันไม่ใช่ความรู้สึกเหงาหรือต้องการใครสักคนอย่างแท้จริงเหมือนกับตอนป่วยเข้าโรงพยาบาล
แต่มันเป็นความรู้สึกที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา มันไม่ใช่ความรู้สึกเหงาจริงๆ
เพราะถ้าเรารู้สึกเหงาจริงๆ เราก็ต้องรู้สึกแบบนี้มานานแล้วสิ ไม่ใช่เพิ่งมารู้สึก
2-3 ปีหลัง เพราะฉะนั้นต้นเหตุที่แท้จริง
มันคือการที่เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆในเฟซบุ๊คต่างหาก
มันคือผลจากการถูกกรอกหูด้วยผู้คนในสังคม มันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด
จุดนี้ใน THE LOBSTER ยังทำให้เรานึกถึงเพื่อนเราบางคนที่แต่งงานไปแล้วแต่ไม่ยอมมีลูกด้วยนะ
เขามาเล่าให้เราฟังว่า อีญาติๆก็ชอบมาถามเหลือเกินว่า เมื่อไหร่จะมีลูก หรือเพื่อนๆเราหลายคนที่เป็นเกย์
ก็มักจะมีญาติๆมาถามว่า เมื่อไหร่จะแต่งงาน
มันเหมือนกับสังคมพยายามบีบบังคับให้เราเข้าไปอยู่ในกรอบที่สังคมวางไว้
ซึ่งก็คือการแต่งงาน และมีลูก โดยไม่ได้คำนึงถึงความจริงที่ว่า คนทุกคนแตกต่างกัน
และความสุขของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่เราไม่มีปัญหาแบบข้างต้นนะ เพราะเราไม่สนิทกับครอบครัว เราแทบไม่เคยเจอญาติของเราเลย
ก็เลยไม่มีปัญหาอะไรแบบนี้
2.จุดนี้ของ THE LOBSTER ที่ทำให้เราตระหนักว่าบางทีความรู้สึกเหงาของเรา
มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นสิ่งที่ถูกสังคมหลอกให้เรารู้สึก
มันทำให้เรานึกถึงหนังของ Luis Buñuel ด้วยนะ
ซึ่งก็คือเรื่อง THE PHANTOM OF LIBERTY (1974) เพราะหนังเรื่องนั้นก็ทำให้เราตระหนักว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเชื่อว่ามันเป็นความจริง
จริงๆแล้วมันไม่ใช่ความจริง อย่างเช่นฉากที่ตัวละครดูรูปตึกสูงๆ
แล้วบอกว่ามันเป็นภาพที่หยาบโลนมาก หรือฉากที่ตัวละครนั่งอึกันเป็นกลุ่มๆ
แล้วนั่งกินข้าวในที่ลับหูลับตาคน คือสองฉากนี้ใน THE PHANTOM OF LIBERTY มันทำให้เราตระหนักว่า “ความหยาบโลน” มันเป็นสิ่งที่ถูกสังคมกำหนดขึ้นมาว่า
สิ่งนี้หยาบโลน สิ่งนั้นไม่หยาบโลน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว
สิ่งนั้นมันก็เป็นสิ่งนั้นเฉยๆ สังคมแต่ละสังคมต่างหากที่ไปแปะป้ายให้กับมันว่าหยาบโลนหรือไม่หยาบโลน
เพราะฉะนั้น THE LOBSTER ก็เลยโดนเรามากในแง่นี้
เพราะมันทำให้เราตระหนักว่า หลายๆครั้งเราเหงาทั้งๆที่เราไม่ควรจะเหงาแต่อย่างใด มันเป็นความรู้สึกเหงาหลอกๆ
มันไม่ใช่ความรู้สึกเหงาจริงๆ
3.แต่เราก็ชอบมากที่ THE LOBSTER พาเราไปไกลกว่าประเด็นข้างต้นนะ
เพราะ THE LOBSTER เล่าถึงกลุ่มคนในป่าที่ตั้งกฎเกณฑ์ในทางตรงกันข้ามด้วย
ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ไร้สาระพอกัน และไม่เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ทำตามที่ใจตัวเองปรารถนาเหมือนกัน
การที่ THE LOBSTER นำเสนอเรื่องกลุ่มคนในป่าด้วย
ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า DOGTOOTH (2009, Yorgos Lanthimos,
Greece) นะ เพราะเรารู้สึกว่า DOGTOOTH เหมือนมีประเด็นเดียว
แต่ THE LOBSTER มีประเด็นเยอะกว่า
และเรารู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ของตัวละครได้มากกว่า
เรารู้สึกว่า THE LOBSTER มันค่อนข้างสอดคล้องกับความเชื่อส่วนตัวของเราด้วยที่ว่า
จริงๆแล้วมันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัวหรอก ว่าแบบไหนดีกว่ากัน
มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนน่ะ ใครอยากอยู่เป็นโสดก็ทำไป,
ใครอยากผัวเดียวเมียเดียวก็ทำไป ใครอยากมีผัว 30 คนก็ทำไป ใครอยากเซ็กส์หมู่ก็ทำไป
สิ่งที่สำคัญสำหรับเราก็คือว่า
อย่าเอาสิ่งที่เหมาะกับเราไปอุปโลกน์ว่ามันต้องเหมาะกับคนอื่นๆด้วยเท่านั้นเอง
มึงชอบใช้ชีวิตแบบไหนก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาบอกให้กูต้องใช้ชีวิตในแบบที่มึงชอบด้วย
4.มีรายละเอียดปลีกย่อยที่เยอะมากและดีมากในหนังเรื่องนี้
แต่เราลืมไปหมดแล้ว จริงๆก็คือชอบตัวประกอบต่างๆในหนังเรื่องนี้มากทุกตัวเลย
อย่างตัว Heartless Woman ก็คลาสสิคมาก, ตัว Biscuit
Woman นี่นึกว่าหลุดออกมาจากหนังของ Mike Leigh + Ken Loach และชอบตัวเพื่อนของ Nosebleed woman ด้วยที่ตบหน้าเพื่อนเธออย่างจัง
และพอเธอกลายเป็นม้า เธอก็เป็นม้าที่สวยมาก
5.ชอบการสื่อสารด้วยท่าทางของพระเอกกับนางเอกด้วย
มันทำให้เรานึกถึงเรากับกลุ่มเพื่อนๆ ที่พอสนิทกัน มันจะมีการพัฒนาภาษาบางอย่างหรือคำศัพท์ใหม่ๆขึ้นมาเพื่อใช้สื่อสารระหว่างกันเอง
6.ฉากเต้นรำด้วยดนตรีเทคโนก็คลาสสิคมากๆ
7.มีเพื่อนคนนึงถามเราว่า การกลายเป็นสัตว์ในเรื่องนี้หมายถึงอะไร
เราก็เลยตอบไปว่า
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าผู้กำกับเขาจงใจให้มันหมายถึงอะไร
555
แต่ถ้าถามว่ามันทำให้ผมนึกถึงอะไรบ้าง
ผมก็อาจจะนึกถึงสิ่งต่อไปนี้ครับ
7.1 การกลายเป็นพลเมืองชั้นสองของสังคมจารีตแบบนั้น
7.2 การกลายเป็น “สมาชิกครอบครัวชั้นสอง”
อย่างเช่นหลายๆครอบครัวที่ถือว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนสมาชิกหนึ่งในครอบครัว
แต่เป็นสมาชิกชั้นสอง อย่างเช่น
ครอบครัวนึงอาจจะมีพ่อแม่ลูกเป็นสมาชิกครอบครัวชั้นหนึ่ง
แล้วในบ้านหลังนั้นอาจจะมี “คุณป้าสาวแก่” กับ “หมา” อยู่ในบ้านด้วย
ซึ่งคุณป้าสาวแก่กับหมาอาจจะถือเป็นสมาชิกครอบครัวชั้นสองของครอบครัวนั้น
7.3 การต้องอยู่กับสัตว์เลี้ยง
แทนที่จะต้องอยู่กับคู่สมรสและลูกๆ คือคนโสดบางคนอาจจะคลายเหงาด้วยการเลี้ยงม้า
เลี้ยงหมา เลี้ยงนกอะไรไป และพอคนโสดคนนั้นอยู่กับหมา
มันก็อาจจะแทนด้วยการกลายเป็นหมาในหนังเรื่องนี้ อะไรทำนองนี้”
8.เพื่อนถามเราเรื่อง “ฉากเปิด” ของ THE LOBSTER ด้วย
เราก็เลยตอบไปว่า
“8.1
ฉากเปิดของ THE LOBSTER อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับจงใจให้ตีความไม่ได้
มันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาใส่เข้ามาตามสัญชาตญาณ
ใส่เข้ามาเพราะเขาอยากใส่มันเข้ามาโดยไม่มีเหตุผล
หรือเขาใส่มันเข้ามาโดยมีเหตุผลของเขาเอง แต่จงใจไม่บอกให้เรารู้
8.2 โดยส่วนใหญ่แล้วผมไม่ถนัดตีความหาเจตนาของผู้กำกับครับ
555 เพราะฉะนั้นถ้าหากถามว่าฉากเปิดทำให้ผมรู้สึกอย่างไร
ผมก็ตอบได้ว่าชอบฉากเปิดนี้มากครับ ถึงแม้จะไม่เข้าใจมันก็ตาม
8.3 แล้วฉากเปิดมันทำให้ผมนึกถึงอะไรต่อไปอีกบ้าง
ผมก็จินตนาการว่ามันอาจจะเป็นการแก้แค้นก็ได้ครับ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเคยแค้นคนๆนึง
แล้วต่อมาคนคนนั้นก็กลายเป็นวัว เธอก็เลยตามไปแก้แค้น
สาเหตุที่ทำให้นึกถึงเรื่องนี้เป็นเพราะฉากที่ตัวละครขาเป๋เล่าว่าแม่ของเขากลายเป็นหมาป่าหรืออะไรทำนองนี้น่ะครับ
แล้วเขาก็ต้องใช้เวลาสักระยะนึงในการตามหาว่าแม่ไปอยู่ที่ไหน
แล้วพอรู้ว่าแม่อยู่ในสวนสัตว์
เขาก็ต้องใช้กลวิธีในการแยกแยะให้ได้ว่าหมาป่าตัวไหนคือแม่ของเขาอีก
คือเรื่องเล่านี้มันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ในแบบที่พิสดารน่ะครับ
ซึ่งน่าจะนำมาใช้อธิบายฉากเปิดได้ในแง่นึง เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับวัวตัวนั้นคงจะตรงข้ามกับความสัมพันธ์ของตัวละครขาเป๋กับหมาป่า”
9.ดู THE LOBSTER แล้วทำให้เรานึกย้อนกลับไปถึงประเด็นที่เราเคยเขียนไว้เมื่อ
10 ปีก่อนด้วยนะ ที่ว่าหนังของ Jun Ichikawa, Tsai Ming-liang กับ Wong Kar-wai มันเหงาๆเหมือนกัน
หรือมันมีตัวละครที่ดูโดดเดี่ยวเหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่าหนังของ Jun
Ichikawa มันเข้าทางเรามากที่สุด
เพราะมันมักแสดงให้เห็นถึงตัวละครที่มีความสุขขณะอยู่คนเดียว
โดยไม่จำเป็นต้องมีผัว, ครอบครัว, เพื่อน คืออยู่คนเดียวก็มีความสุขแล้ว ในขณะที่ตัวละครในหนังของ Wong กับ Tsai (ยุคแรก)
ตัวละครมักจะไม่มีความสุขขณะอยู่คนเดียว เพราะเขาต้องการคู่รักมาอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นหนังของ
Wong กับ Tsai ก็เลยไม่เข้าทางเรามากเท่าหนังของ
Jun Ichikawa แต่มันก็ยังดีกว่าหนังประเภทที่แสดงให้เห็นถึง “ความสำคัญของครอบครัว”
อะไรทำนองนี้ คือเราว่าไอ้หนังประเภทที่แสดงให้เห็นถึงความรักในสถาบันครอบครัวหรือสถาบันห่าเหวอะไรต่างๆนี่
ในแง่นึงมันก็เหมือนกับ “กลุ่มผู้จัดการโรงแรม” ใน THE LOBSTER น่ะ ที่พยายามยัดเยียดมายาคติต่างๆให้กับผู้คนในสังคม
สรุปว่า ดู THE LOBSTER แล้วทำให้เราตระหนักว่า
เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเงี่ยน มันเป็นความจริง แต่เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเหงา
บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆของเรา
เพราะในบางครั้งมันเป็นสิ่งที่เราถูกสังคมหลอกมา
No comments:
Post a Comment