ทบทวนชีวิตปี 2015
--เห็นคนอื่นๆทบทวนชีวิตตัวเองในปี 2015 เราก็เลยเขียนบ้างดีกว่า
--สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในปี 2015 ก็คือการลดดูหนัง, ละครเวทีกับนิทรรศการศิลปะลง
เพราะตอนต้นปีเราป่วยหนักจากอาหารเป็นพิษ
และเรารู้สึกว่าเราเหนื่อยเกินไปกับการตามดูทั้งหนัง, ละครเวที และนิทรรศการศิลปะ
เราก็เลยลดมันหมดเลยทุกอย่าง ปี 2015 เราแทบไม่ได้ดูนิทรรศการศิลปะเลย
ส่วนละครเวทีเราก็ดูเฉพาะที่อยากดูจริงๆและสะดวกจริงๆเท่านั้น
คือก่อนหน้านั้นเรามีแรงผลักดันในใจที่อยากจะตามดูละครเวทีโรงเล็กให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่พอสังขารเราเริ่มไม่ไหว เราก็เลยตัดใจจากการตามดูละครเวที
และเลือกดูเฉพาะอันที่เราสะดวกไปดูจริงๆเท่านั้น
ส่วนหนังเราก็ลดการดูไปเยอะมาก โดยเฉพาะหนังโรง
เพราะเราพยายามเอาเวลามาออกกำลังกายแทน
ปีนี้เราก็คงจะทำอย่างนี้อีก เพราะรู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วชีวิตเริ่มลงตัวมากขึ้น
นั่นก็คือเราจะให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นอันดับหนึ่ง การทำงานเป็นอันดับสอง
ส่วนสิ่งไม่จำเป็นในชีวิต ซึ่งได้แก่หนัง, ละครเวที และงานศิลปะ
เราคงจะให้เวลากับมันเฉพาะเมื่อเราให้เวลาเพียงพอแล้วกับสุขภาพและการทำงานเท่านั้น
ที่เราบอกว่าเราต้องให้เวลาเพียงพอกับการทำงาน ก็คือเราต้องนอนให้ได้
7 ชั่วโมงต่อวันน่ะ ไม่งั้นเราจะรู้สึกว่าหัวสมองตื้อ รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทำงานไม่ได้
คือเมื่อ 20 ปีก่อน เราเคยนอนเพียงแค่ 3 ชั่วโมงต่อวัน
เราก็ไปทำงานในวันรุ่งขึ้นได้ แต่พอยิ่งแก่ตัวลง เราก็พบว่าเราต้องการการนอนมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นปีนี้เราก็ตั้งใจว่าเราจะพยายามนอนให้ได้ 7 ชั่วโมงต่อวัน
เพื่อที่จะทำงานได้โดยไม่รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น และการที่เราจะมีเวลานอนได้ถึง
7 ชั่วโมงต่อวันนั้น เราก็ต้องลดการดูหนัง, ลดการเขียนถึงหนัง
และลดการเล่นเฟซบุ๊คและอินเทอร์เน็ตด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไม่เขียนถึงหนังเรื่องไหน
แค่ให้เกรดเฉยๆ ก็หวังว่าคงเข้าใจว่าเพราะอะไร
--เราเป็น cinephile มาครบ 20 ปีแล้ว เรารู้สึกว่าเราเริ่มเป็น “คนที่ชอบดูหนังอย่างจริงจัง”
ตอนปลายปี 1995 เมื่อเราได้ดูหนังเรื่อง CLASS ENEMY (1983, Peter Stein) ที่สถาบันเกอเธ่ มันเป็นการไปดูหนังตามสถาบันครั้งแรกในชีวิตของเรา
และเราก็พบว่าเราชอบหนังเรื่อง CLASS ENEMY อย่างรุนแรงมากๆ
ทั้งๆที่เราไม่เคยได้ยินนักวิจารณ์เขียนถึงหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย เราก็เลยเริ่มพบว่าจริงๆแล้วมันยังมีหนังอีกมากมายในโลกนี้ที่มันเข้าทางเรา
หรือสร้างขึ้นมาเพื่อเราจริงๆ แต่มันเป็นหนังที่นักวิจารณ์ยังไม่ได้เขียนถึง
หรือผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ได้ชื่นชมกัน การดูหนังเรื่อง CLASS ENEMY ในช่วงปลายปี 1995 จึงเหมือนกับว่าเราได้กลายเป็น cinephile โดยมีสถาบันเกอเธ่เป็นผู้ให้กำเนิด
ช่วงปลายปี 2015 จึงเป็นการครบรอบ 20 ปีในการเป็น cinephile ของเรา
--สรุปว่าปี 2016 ถ้าหากเรายังทำงานประจำแบบเดิมต่อไป
เราก็คงจะให้เวลากับการออกกำลังกาย, นอน 7 ชั่วโมงต่อวัน และตั้งใจทำงานเป็นหลัก ถ้ามีเวลาว่างจริงๆเราก็คงจะดูหนัง
โดยเฉพาะวิดีโอเทปประมาณ 1000 ม้วนที่เรายังไม่ได้ดู
และถ้ามีเวลาว่างเหลือเยอะมากจริงๆ เราค่อยจดบันทึกถึงความรู้สึกที่เรามีต่อหนัง
ส่วนละครเวทีเราคงดูน้อยมาก นิทรรศการศิลปะเราก็คงไม่ได้ไปดูเลย แต่ก็นั่นแหละ
เราได้เรียนรู้แล้วว่า
เราต้องให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและการเลี้ยงชีพของตนเองเป็นหลัก เพราะ “ปัจจัย
4” มันสำคัญกว่าภาพยนตร์ คือแค่การหาเงินมาให้เพียงพอต่อปัจจัย 4
กูก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว
เพราะฉะนั้นเราจะไม่หาภาระใดๆที่ไม่จำเป็นมาเพิ่มให้ตัวเองอีกต่อไป
--เหตุการณ์สำคัญอันนึงสำหรับเราในปี 2015 คือการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเพื่อนคนนึงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ
คือเขามีอายุเท่าๆกับเราน่ะ เราก็เลยรู้สึกว่าความตายมันใกล้เราเข้ามาทุกเมื่อ
เราได้เจอเขาครั้งสุดท้ายโดยบังเอิญตอนไปดูละครเวทีเรื่อง [deprived] ที่ M
THEATRE ในวันศุกร์ที่ 13 พ.ย. คือตอนแรกเรากะจะไม่ไปดูละครเวทีเรื่องนี้แล้วนะ
เพราะมันประกาศว่ามันจะปิดแอร์ตอนแสดงละครเวทีเรื่องนี้
แล้วเราเป็นคนที่ขี้ร้อนน่ะ เราก็เลยลังเลว่าจะไปดูดีมั้ย
แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลองเสี่ยงไปดู ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เพราะอากาศมันไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด, ละครเวทีก็ดีมาก
และที่สำคัญที่สุดก็คือเราได้เจอเพื่อนคนนี้โดยบังเอิญด้วย
จริงๆแล้วเราเคยแอบชอบเขานะ เคยพยายามจีบเขาด้วยแหละตอนที่รู้จักกันครั้งแรกๆ
แต่เขาไม่ได้ชอบอะไรเรา เราก็เลยเลิกจีบเพราะรู้ว่าไม่มีหวัง
แต่ก็ยังดีที่ได้เป็นเพื่อนกับเขา
พอเจอเขาโดยบังเอิญที่ M THEATRE ในวันนั้น เราก็เลยดีใจมากๆที่เขามานั่งคุยกับเราเป็นเวลาประมาณ
5-10 นาที คุยเรื่องสัพเพเหระกัน
แต่หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์เขาก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน
เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่รุนแรงมาก เพราะเราเพิ่งเจอกันหลัดๆ เรายังจำ moment สุดท้ายที่เราคุยกันได้อยู่เลย
มันเพิ่งผ่านมาแป๊บเดียวเอง
เรากลับไป M THEATRE อีกครั้งเพื่อดูงานบางแสนรามาในวันเสาร์ที่
28 พ.ย. เราเห็นจุดที่เรานั่งคุยกับเขาเมื่อ 15 วันก่อน
ตอนที่เราได้คุยกับเขาในครั้งนั้น เราไม่เคยรู้เลยว่า มันจะเป็นการคุยกันครั้งสุดท้ายในชีวิต
การไปดูงานบางแสนรามาในครั้งนี้จึงเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดสำหรับเรา
เพราะในใจนึงเราก็ enjoy กับภาพยนตร์ในงานมากๆ แต่ในใจนึง
เราก็นึกถึงเพื่อนคนนั้น เพื่อนที่เราได้พบหน้าครั้งสุดท้ายที่ M THEATRE เมื่อ 15 วันก่อน
No comments:
Post a Comment