Saturday, January 02, 2016

LIFE IN 2015

ทบทวนชีวิตปี 2015

--เห็นคนอื่นๆทบทวนชีวิตตัวเองในปี 2015 เราก็เลยเขียนบ้างดีกว่า

--สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในปี 2015 ก็คือการลดดูหนัง, ละครเวทีกับนิทรรศการศิลปะลง เพราะตอนต้นปีเราป่วยหนักจากอาหารเป็นพิษ และเรารู้สึกว่าเราเหนื่อยเกินไปกับการตามดูทั้งหนัง, ละครเวที และนิทรรศการศิลปะ เราก็เลยลดมันหมดเลยทุกอย่าง ปี 2015 เราแทบไม่ได้ดูนิทรรศการศิลปะเลย ส่วนละครเวทีเราก็ดูเฉพาะที่อยากดูจริงๆและสะดวกจริงๆเท่านั้น คือก่อนหน้านั้นเรามีแรงผลักดันในใจที่อยากจะตามดูละครเวทีโรงเล็กให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พอสังขารเราเริ่มไม่ไหว เราก็เลยตัดใจจากการตามดูละครเวที และเลือกดูเฉพาะอันที่เราสะดวกไปดูจริงๆเท่านั้น

ส่วนหนังเราก็ลดการดูไปเยอะมาก โดยเฉพาะหนังโรง เพราะเราพยายามเอาเวลามาออกกำลังกายแทน

ปีนี้เราก็คงจะทำอย่างนี้อีก เพราะรู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วชีวิตเริ่มลงตัวมากขึ้น นั่นก็คือเราจะให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นอันดับหนึ่ง การทำงานเป็นอันดับสอง ส่วนสิ่งไม่จำเป็นในชีวิต ซึ่งได้แก่หนัง, ละครเวที และงานศิลปะ เราคงจะให้เวลากับมันเฉพาะเมื่อเราให้เวลาเพียงพอแล้วกับสุขภาพและการทำงานเท่านั้น

ที่เราบอกว่าเราต้องให้เวลาเพียงพอกับการทำงาน ก็คือเราต้องนอนให้ได้ 7 ชั่วโมงต่อวันน่ะ ไม่งั้นเราจะรู้สึกว่าหัวสมองตื้อ รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทำงานไม่ได้ คือเมื่อ 20 ปีก่อน เราเคยนอนเพียงแค่ 3 ชั่วโมงต่อวัน เราก็ไปทำงานในวันรุ่งขึ้นได้ แต่พอยิ่งแก่ตัวลง เราก็พบว่าเราต้องการการนอนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นปีนี้เราก็ตั้งใจว่าเราจะพยายามนอนให้ได้ 7 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อที่จะทำงานได้โดยไม่รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น และการที่เราจะมีเวลานอนได้ถึง 7 ชั่วโมงต่อวันนั้น เราก็ต้องลดการดูหนัง, ลดการเขียนถึงหนัง และลดการเล่นเฟซบุ๊คและอินเทอร์เน็ตด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไม่เขียนถึงหนังเรื่องไหน แค่ให้เกรดเฉยๆ ก็หวังว่าคงเข้าใจว่าเพราะอะไร

--เราเป็น cinephile มาครบ 20 ปีแล้ว เรารู้สึกว่าเราเริ่มเป็น “คนที่ชอบดูหนังอย่างจริงจัง” ตอนปลายปี 1995 เมื่อเราได้ดูหนังเรื่อง CLASS ENEMY (1983, Peter Stein) ที่สถาบันเกอเธ่ มันเป็นการไปดูหนังตามสถาบันครั้งแรกในชีวิตของเรา และเราก็พบว่าเราชอบหนังเรื่อง CLASS ENEMY อย่างรุนแรงมากๆ ทั้งๆที่เราไม่เคยได้ยินนักวิจารณ์เขียนถึงหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย เราก็เลยเริ่มพบว่าจริงๆแล้วมันยังมีหนังอีกมากมายในโลกนี้ที่มันเข้าทางเรา หรือสร้างขึ้นมาเพื่อเราจริงๆ แต่มันเป็นหนังที่นักวิจารณ์ยังไม่ได้เขียนถึง หรือผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ได้ชื่นชมกัน การดูหนังเรื่อง CLASS ENEMY ในช่วงปลายปี 1995 จึงเหมือนกับว่าเราได้กลายเป็น cinephile โดยมีสถาบันเกอเธ่เป็นผู้ให้กำเนิด

ช่วงปลายปี 2015 จึงเป็นการครบรอบ 20 ปีในการเป็น cinephile ของเรา

--สรุปว่าปี 2016 ถ้าหากเรายังทำงานประจำแบบเดิมต่อไป เราก็คงจะให้เวลากับการออกกำลังกาย, นอน 7 ชั่วโมงต่อวัน และตั้งใจทำงานเป็นหลัก ถ้ามีเวลาว่างจริงๆเราก็คงจะดูหนัง โดยเฉพาะวิดีโอเทปประมาณ 1000 ม้วนที่เรายังไม่ได้ดู และถ้ามีเวลาว่างเหลือเยอะมากจริงๆ เราค่อยจดบันทึกถึงความรู้สึกที่เรามีต่อหนัง ส่วนละครเวทีเราคงดูน้อยมาก นิทรรศการศิลปะเราก็คงไม่ได้ไปดูเลย แต่ก็นั่นแหละ เราได้เรียนรู้แล้วว่า เราต้องให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและการเลี้ยงชีพของตนเองเป็นหลัก เพราะ “ปัจจัย 4” มันสำคัญกว่าภาพยนตร์ คือแค่การหาเงินมาให้เพียงพอต่อปัจจัย 4 กูก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะไม่หาภาระใดๆที่ไม่จำเป็นมาเพิ่มให้ตัวเองอีกต่อไป

--เหตุการณ์สำคัญอันนึงสำหรับเราในปี 2015 คือการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเพื่อนคนนึงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ คือเขามีอายุเท่าๆกับเราน่ะ เราก็เลยรู้สึกว่าความตายมันใกล้เราเข้ามาทุกเมื่อ

เราได้เจอเขาครั้งสุดท้ายโดยบังเอิญตอนไปดูละครเวทีเรื่อง [deprived] ที่ M THEATRE ในวันศุกร์ที่ 13 พ.ย. คือตอนแรกเรากะจะไม่ไปดูละครเวทีเรื่องนี้แล้วนะ เพราะมันประกาศว่ามันจะปิดแอร์ตอนแสดงละครเวทีเรื่องนี้ แล้วเราเป็นคนที่ขี้ร้อนน่ะ เราก็เลยลังเลว่าจะไปดูดีมั้ย แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลองเสี่ยงไปดู ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะอากาศมันไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด, ละครเวทีก็ดีมาก และที่สำคัญที่สุดก็คือเราได้เจอเพื่อนคนนี้โดยบังเอิญด้วย

จริงๆแล้วเราเคยแอบชอบเขานะ เคยพยายามจีบเขาด้วยแหละตอนที่รู้จักกันครั้งแรกๆ แต่เขาไม่ได้ชอบอะไรเรา เราก็เลยเลิกจีบเพราะรู้ว่าไม่มีหวัง แต่ก็ยังดีที่ได้เป็นเพื่อนกับเขา

พอเจอเขาโดยบังเอิญที่ M THEATRE ในวันนั้น เราก็เลยดีใจมากๆที่เขามานั่งคุยกับเราเป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที คุยเรื่องสัพเพเหระกัน

แต่หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์เขาก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่รุนแรงมาก เพราะเราเพิ่งเจอกันหลัดๆ เรายังจำ moment สุดท้ายที่เราคุยกันได้อยู่เลย มันเพิ่งผ่านมาแป๊บเดียวเอง

เรากลับไป M THEATRE อีกครั้งเพื่อดูงานบางแสนรามาในวันเสาร์ที่ 28 พ.ย. เราเห็นจุดที่เรานั่งคุยกับเขาเมื่อ 15 วันก่อน ตอนที่เราได้คุยกับเขาในครั้งนั้น เราไม่เคยรู้เลยว่า มันจะเป็นการคุยกันครั้งสุดท้ายในชีวิต


การไปดูงานบางแสนรามาในครั้งนี้จึงเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดสำหรับเรา เพราะในใจนึงเราก็ enjoy กับภาพยนตร์ในงานมากๆ แต่ในใจนึง เราก็นึกถึงเพื่อนคนนั้น เพื่อนที่เราได้พบหน้าครั้งสุดท้ายที่ M THEATRE เมื่อ 15 วันก่อน

No comments: