PANTHAI-NORASING (2015, Prince Chatrichaloem Yukol, 173min, A-)
พันท้ายนรสิงห์
จริงๆแล้วเรามีปัญหาแค่ช่วง 30 นาทีสุดท้ายของหนังนะ คือช่วง 2
ชั่วโมงครึ่งก่อนหน้านั้นเราก็ดูได้เพลินๆ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร คือไม่ได้ชอบมาก
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านมาก แต่ช่วง 30 นาทีสุดท้ายของหนังเราถึงเริ่มรู้สึกว่าตัวละครมันเปลี่ยนจากการเป็นมนุษย์ไปเป็นเครื่องมือในการ
propaganda แนวคิดบางอย่างที่เราไม่เห็นด้วย
ความรู้สึกดีๆที่เรามีต่อหนังในช่วงก่อนหน้านั้นก็เลยหายไปอย่างรวดเร็ว
THE BIG SHORT (2015, Adam McKay, A+30)
ดีงามมาก ชอบที่หนังดูเหมือนเป็นตัวของตัวเองดี
ไม่ต้องติดอยู่ในกรอบความเป็นหนังสารคดี หรือติดอยู่ในกรอบความเป็น fiction แต่เป็นในแบบที่ตัวเองอยากจะเป็น
คือถ้ามันเป็นหนังสารคดีไปเลย มันก็อาจจะเป็นเหมือน NOTHING VENTURED (2004,
Harun Farocki) ที่เข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้น้อย แต่ถ้ามันทำตัวเป็นหนัง
narrative fiction ธรรมดาแบบ MARGIN CALL (2011, J.
C. Shandor), WALL STREET (1987, Oliver Stone) และ THE WOLF
OF WALL STREET (2013, Martin Scorsese) มันก็จะไม่สามารถให้ความรู้แก่ผู้ชมได้มากเท่าแบบที่มันเป็นอยู่ตอนนี้
เรามองว่ามันเป็น educational film นะ
คือหนังที่ทำขึ้นมาเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ชม แต่มันไม่ได้ทำออกมาแบบน่าเบื่อน่ะ
เราก็เลยคิดว่ามันเป็น educational film ที่น่าสนใจมากๆ
และเหมือนเราแทบไม่เคยดูหนัง educational film แบบนี้ในโรงใหญ่มาก่อน
แต่ถ้าหากเทียบกับหนังไทยแล้ว เราว่ามันเทียบได้กับหนัง “โครงการ”
บางเรื่องน่ะ อย่างเช่น “ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง” ของ Chulayarnnon Siriphol คือเป็นหนังที่ทำขึ้นมาเพื่อป้อนความรู้ยากๆให้แก่ผู้ชม
แต่ตัวหนังพยายามหากลวิธีฮี้ห่าที่น่าสนใจ เพื่อให้ผู้ชมสามารถดูดซึมความรู้ยากๆนั้นเข้าสมองตัวเองได้
No comments:
Post a Comment