Friday, January 01, 2016

CAT A WABB! (2015, Naruebodee Wechakum + Phongsak Phongsuwan, A+15)

CAT A WABB! (2015, Naruebodee Wechakum + Phongsak Phongsuwan, A+15)
แคทอ่ะแว้บ! #แบบว่ารักอ่ะ

1. ทำไมกูต้องปิดปีกับหนังเรื่องนี้ด้วย 555 แต่จริงๆแล้วหนังน่ารักดี และเราไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเรื่องปิดปี เปิดปี เราก็เลยเลือกดูหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของปี ทั้งๆที่เดาได้อยู่แล้วล่ะว่า มันไม่ใช่หนังที่เข้าทางเราหรอก

2. สรุปว่า ดูจบแล้วก็ไม่รู้ว่า แคทอ่ะแว้บแปลว่าอะไร 555 แต่เราว่าการตั้งชื่อหนังแบบนี้ทำให้จำง่ายดีนะ เพราะปีที่ผ่านมาเราเจอหนังไทยที่ตั้งชื่อประเภท “พบกันใหม่โอกาสหน้า”, “เจอกันเมื่อเราเจอกัน”, “จนกว่าเธอจะกลับมา”, “แต่เราจะหากันจนเจอ” อะไรประเภทนี้ ซึ่งทำให้เราจำชื่อหนังเหล่านี้สลับกันไปหมด

3. สาเหตุที่ชอบถึงขั้น A+15 สาเหตุแรกเป็นเพราะว่า เราจินตนาการได้เลยว่า ถ้าหากเราเป็นนางเอก แล้วเจอคนแบบเป้ อารักษ์ เราก็คงเกิดความ want ขึ้นมาในทันทีแบบในหนังนี่แหละ แล้วพอเรา identify กับตัวนางเอกได้ในแง่นี้แล้ว มันก็เลยมีอารมณ์ร่วมกับหนังในระดับนึง

แล้วจริงๆตอนดูแอบนึกถึงผู้กำกับหนังสั้นของไทยที่หล่อๆบางคนที่ทำงานสตูดิโออะไรแบบนี้ด้วยนะ คือเรารู้สึกว่ามันคงเป็นเรื่องที่เกิดได้จริงกับนิสิตหญิงบางคนแน่ๆ ที่พอไปฝึกงาน แล้วเจอรุ่นพี่หล่อๆในสตูดิโอแบบนี้ ก็คงเกิดความเงี่ยนขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้

4.เราว่าหนังมันประคองตัวเองได้ดีในระดับนึงด้วย คือมันไม่มี moment ที่พีคมากสำหรับเรา แต่ก็ไม่มี moment ที่แย่มากสำหรับเราเช่นกัน คือจริงๆแล้วเราอยากให้หนังมันเน้นไปในทางดราม่าชีวิตการทำงานแบบ FREELANCE มากกว่า แต่พอหนังมันเน้นไปในทาง “ตลก” เราก็เข้าใจว่ามันคงพยายามเอาใจตลาดน่ะ ซึ่งมันไม่เข้าทางเราเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่ความพยายามจะสร้างอารมณ์ตลกในหนังตลอดเวลาแบบนี้ มันไม่ได้นำมาซึ่งอะไรแย่ๆเหมือนหนังตลกไทยเรื่องอื่นๆ

สรุปว่าโดยส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบหนังตลก นั่นก็เลยทำให้เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้แบบสุดๆ แต่เราก็ชอบที่หนังเรื่องนี้สามารถประคองอารมณ์ตลกในหนังให้ราบรื่นได้ในระดับนึง โดยไม่ทำให้เรารู้สึกแย่เหมือนหนัง romantic comedy ของไทยอีกหลายๆเรื่อง

5.จุดนึงที่ทำให้เราไม่ได้ชอบในระดับ A+30 ก็คืออุปสรรคที่ใส่เข้ามาในช่วงท้ายเรื่อง มันดู formulaic หรือเป็นสูตรสำเร็จมากเลยน่ะ มันเหมือนกับว่า การที่พระเอกเจอแฟนเก่า แล้วนางเอกน้อยใจ แล้วเกิดเรื่องแมวหายอะไรทำนองนี้ มันดูเหมือนเป็นการทำตามสูตรที่ว่า ต้องมีอุปสรรคแรงๆ ต้องมีไคลแมกซ์ในองก์สามยังไงไม่รู้

ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาที่พบบ่อยในหนังไทยเมนสตรีมนะ คือมันมักจะตกม้าตายตอนองก์สามหรือช่วงท้ายของหนังน่ะ มันมักจะพยายามสร้างไคลแมกซ์ที่ไม่เข้าท่า สร้างอุปสรรคแรงๆที่ไม่เข้าท่าในองก์สาม แล้วทำให้ทุกอย่างพังพินาศ แทนที่จะปล่อยให้ชีวิตตัวละครดำเนินไปในแบบที่มันเป็นจริงๆ

แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้พังพินาศในองก์สามนะ เพียงแต่ว่ามันทำให้เราชอบหนังน้อยลงน่ะ คือถ้าหากเราเป็นนางเอก แล้วเจอพระเอกคร่ำครวญถึงแฟนเก่าแบบนั้น เราก็คงไม่น้อยใจรุนแรงหรอก เพราะเราก็เห็นอยู่แล้วว่าแฟนเก่าเขาไม่เอาพระเอก เราก็คงรอคอยจังหวะเวลาเหมาะๆเพื่อตะครุบผู้ชายต่อไป แต่พอนางเอกมาเกิดอาการน้อยใจรุนแรงแบบนี้ เราก็เลยไม่ identify กับนางเอก และมันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า การน้อยใจรุนแรงของนางเอกแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทำกัน แต่มันเป็นสิ่งที่ “ตัวละครทำตามสูตรสำเร็จของหนัง 3 องก์” อะไรแบบนี้ คือมันทำให้เราเกิดความไม่เชื่อในตัวละครขึ้นมานิดนึงน่ะ

แต่ถึงแม้เราจะไม่ชอบช่วงท้ายของหนัง ทั้งการน้อยใจของนางเอก และเรื่องแมวหาย แต่เราก็เข้าใจนะว่า หนังเมนสตรีมมันมักจะมีปัญหาแบบนี้ทั้งนั้นแหละ คือเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่เข้าท่าในช่วงท้ายเรื่อง ก่อนจะนำไปสู่การคลี่คลายปัญหา เพียงแต่ว่าถ้าหากคนเขียนบทเก่งพอ หนังมันก็จะสร้างอุปสรรคที่เข้าท่าเข้าทางได้ในช่วงท้ายเรื่อง

และเราว่าสาเหตุที่เราไม่พีคกับช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ เป็นเพราะเรารู้สึกว่า มันเป็นอุปสรรคที่ไม่ค่อยเข้าท่านิดนึงน่ะ คือนางเอกไม่ควรน้อยใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้วการแก้ไขอุปสรรคในช่วงท้าย ทั้งการปรับความเข้าใจกันและการตามหาแมวหาย ก็ดูเหมือนไม่ได้ทำให้ตัวละครต้องลำบากจริงๆ หรือเกิดการเรียนรู้จุดอ่อนข้อเสียของตัวเอง หรือเกิดการพัฒนาตัวเอง หรือเกิดการตระหนักรู้อะไรแบบนี้ มันเหมือนกับเป็นอุปสรรคทางกายภาพชั่วครู่ชั่วยาม แต่ไม่ส่งผลกระทบอย่างแท้จริงต่อจิตวิญญาณของตัวละครแต่อย่างใด มันก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า ช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ มันเป็น “อุปสรรคแบบสูตรสำเร็จ ใส่เข้ามาพอเป็นพิธี” น่ะ

ซึ่งมันจะแตกต่างจาก FREELANCE เพราะใน FREELANCE นั้น เราเห็นตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า พระเอกมีจุดอ่อนตรงที่บ้างาน อยากได้เงินมากเกินไป รักษาสมดุลชีวิตได้ไม่ดี ให้ความสำคัญกับงานมากเกินไป ให้ความสำคัญกับสุขภาพน้อยเกินไป คือมันปูมาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว แล้วช่วงท้ายของหนัง มันก็สอดรับกับสิ่งที่ปูมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แล้วพระเอกก็พบกับความลำบากจริงๆ และได้เกิดการเรียนรู้จริงๆในช่วงท้ายของเรื่อง เราก็เลยยอมรับได้กับช่วงท้ายของ FREELANCE แต่เราจะมีปัญหากับช่วงท้ายของ CAT A WABB! และ “มนต์เลิฟสิบหมื่น” และเราจะรับไม่ได้อย่างรุนแรงกับช่วงท้ายของ LOVE LOVE YOU


สรุปว่า CAT A WABB! เป็นหนังที่น่ารักดี เราแค่รู้สึกสะดุดกับช่วงท้ายของหนังนิดนึง แต่ก็ยังคงถือเป็นหนังที่โอเคมากๆสำหรับเรา

No comments: