45 YEARS (2015, Andrew Haigh, UK,
A+25)
1.จริงๆแล้วชอบทุกอย่างในหนังนะ ชอบองค์ประกอบทุกอย่างเลย
เพราะฉะนั้นเราจะละมันไว้ ยังไม่พูดถึงมัน เพราะมันดีอยู่แล้ว
และคนอื่นๆก็คงจะเขียนถึงความดีงามของหนังเรื่องนี้ไปแล้ว
2.แต่ตัวเรายังไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับสุดๆถึงขั้น A+30 นะ
แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าหนังมีข้อบกพร่องนะ แต่เป็นเพราะเรารู้สึกว่าตัวละครเคท (Charlotte Rampling) ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องนี้ เป็นคนที่แตกต่างจากเรามากๆน่ะ เหมือนเป็นคนที่มีทัศนคติตรงข้ามกับเราในเรื่องสำคัญ
และมีชีวิตที่ไม่เหมือนกับเราเลยด้วย และพอหนังเน้นไปที่ตัวเธอ แต่เราไม่สามารถ
identify อะไรกับตัวละครตัวนี้ได้เลยเราก็เลยรู้สึกว่าตัวเอง
“ไม่เข้า” กับหนังในระดับนึง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวละครตัวนี้ไม่สมจริงหรือ
Charlotte Rampling เล่นได้ไม่ดีนะ
เราว่าแรมพลิงเล่นได้ดีสุดๆ และตัวละครตัวนี้ก็สมจริง เป็นมนุษย์จริงๆ
เพียงแต่ว่าเป็นมนุษย์ที่มีแนวคิดอะไรต่างๆไม่เหมือนเราเท่านั้นเอง
แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจตัวละครในหนังเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องหรือเปล่านะ
และไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจหนังเรื่องนี้ถูกต้องหรือเปล่าด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าหากเราเข้าใจอะไรผิดตรงไหน ก็บอกได้นะ
3.คือเรารู้สึกแปลกแยกจากเคทตั้งแต่ช่วงแรกของเรื่องแล้ว
คือเคททำเหมือนไม่พอใจที่สามีของเธออยากเดินทางไปดูศพของคนรักเก่า
พอเราเห็นเช่นนั้นเราก็เลยเริ่มมองว่าเคทเป็นคนที่ตรงข้ามกับเราในทันที
เพราะถ้าหากเราเป็นเธอ เราก็คงรีบพาสามีเดินทางไปดูศพคนรักเก่าในทันทีที่สะดวก
ถ้าหากสามีเราต้องการเช่นนั้น เพราะเราไม่เห็นว่ามันจะเสียหายอะไรตรงไหน
สนุกดีเสียอีก และเราก็จะปล่อยให้เขารำลึกถึงอดีต พูดถึงอดีต mourn ถึงอดีตได้อย่างเต็มที่เลยด้วย เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
และพออดีตมันได้รับการ mourn อย่างเต็มที่แล้ว มันก็จะ “จบ” ไปได้ในระดับนึง
และเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เสียหายอะไรเลย
ถ้าหากสามีเราจะรักคนรักเก่ามากๆน่ะ คือมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์น่ะ
มึงจะไปเรียกร้องอะไรจากสามีมึงมากมายนัก คือเรารู้สึกเหมือนกับว่าเคทเรียกร้องอะไรต่างๆจากสามีในสิ่งที่เราเองคงไม่เรียกร้องน่ะ
คือถ้าหากเรามีอายุขนาดนั้น สิ่งที่เราต้องการจากสามีก็คงมีเพียงแค่
“มึงอย่าสร้างความลำบากเดือดร้อนให้ชีวิตกูก็พอแล้ว”
และแน่นอนว่าเรากับสามีคงยึดหลัก open relationship เป็นหลัก คือใครจะไปมีเซ็กส์อะไรกับใครอื่นก็ตามสบาย
เพราะฉะนั้นการที่สามีจะมารำลึกถึงคนรักเก่าที่ตายไปนานมากแล้วอะไรนี่
มันเป็นสิ่งที่ขี้ปะติ๋วมากๆในสายตาของเรา
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเรามองว่าเจฟฟ์เป็นฝ่ายถูกไปซะทั้งหมดนะ
เพราะเราว่าเขาก็ทำผิดที่ไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดในอดีตให้เคทฟัง
เราว่าการปกปิดความจริงอะไรแบบนี้เป็นปัญหาสำคัญอย่างนึงเลยทีเดียว
แต่การที่เขาจะนั่งดูรูปแฟนเก่าเป็นชั่วโมงๆ หรือพูดถึงแฟนเก่าอย่างรุนแรงหลังจากมีการพบศพเธอนี่
มันเป็นอะไรที่ธรรมดามากๆ สำหรับเรา
คือขนาดเราเอง
ยังสามารถใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆนั่งนอนรำลึกนึกถึงความสุขตอนแต่งหน้ากับเพื่อนๆมัธยมเมื่อ
26 ปีก่อนได้เลย คือเราว่าการนั่งรำลึกถึงอดีตนี่มันเป็นอะไรที่เราชอบทำมากๆน่ะ
เพราะฉะนั้นการที่เคทเหมือนจะไม่พอใจที่สามีทำเช่นนั้น มันก็เลยเป็นอะไรที่เรารู้สึกตรงข้ามกับเธอมากๆ
คือเรารู้สึกว่า ถ้าหากเราเป็นเคท
สิ่งต่างๆที่เจฟฟ์ทำในหนังเรื่องนี้นี่ มันคงจะไม่สร้างความเจ็บปวดอะไรให้เรามากนักน่ะ
คือเราอาจจะไม่พอใจบ้างที่เขาโกหกหรือไม่พูดความจริงทั้งหมดกับเรา
แต่สิ่งที่เขาโกหกเรานั้นมันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรร้ายแรงสำหรับเรานะ
คือถ้าหากเจฟฟ์รักผู้หญิงคนนั้นมากกว่าเรา
หรือรักผู้หญิงอีก 5 คนมากกว่าเรา หรือรักผู้หญิงอีก 5
คนกับผู้ชายอีก 3 คนมากกว่าเรา
นี่มันเป็นอะไรที่ไม่สำคัญสำหรับเราเลยนะ คือขอแค่ให้เขารักเรา “ในระดับที่พอเหมาะ” ก็พอแล้ว
ไม่ต้องรักเรามากเป็นอันดับหนึ่งอะไรทั้งสิ้น คือเราจะรับเจฟฟ์ไม่ได้
และขอหย่าจากเจฟฟ์ในทันที ก็ต่อเมื่อเราค้นพบความจริงว่าในอดีตนั้น เขาเคยมีส่วนสนับสนุนรัฐบาลทหารในชิลี,
อาร์เจนตินา หรือบราซิลอะไรทำนองนั้นมากกว่า คือสำหรับเราแล้ว
การที่มึงรักคนอื่นๆมากกว่ากู นี่เป็นอะไรที่โอเคมากๆ
ตราบใดที่มึงรักกูและปฏิบัติดีต่อกูในระดับที่กูต้องการ
แต่ถ้ากูรู้ความจริงว่าในอดีตมึงเคยสนับสนุนรัฐบาลทหารในอเมริกาใต้อะไรนี่
กูคงรับไม่ได้ และขอหย่าขาดจากมึงในทันที อะไรทำนองนี้ 555
4.แต่เราไม่ได้มองว่าเคท “ผิด” นะ คือที่เขียนมาคือจะบอกว่า เคท “แตกต่าง” จากเรามากๆน่ะ เราก็เลยไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับหนังอย่างเต็มที่
จริงๆแล้วความไม่อินกับเคทในหนังเรื่องนี้
ทำให้เรานึกถึงการตอบคำถามทางจิตวิทยาที่เรากับเพื่อนๆเกย์เคยคุยกันเมื่อราว
25 ปีก่อนด้วยนะ เราจำได้ว่าในช่วงนั้นเรากับเพื่อนๆเกย์ในกลุ่มเคยตอบคำถามทางจิตวิทยา
เพื่อใช้ในการวัดว่าคนๆนั้นให้ความสำคัญกับอะไรในชีวิตในลำดับมากน้อยแค่ไหน
คือคนแต่ละคนจะจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิตไม่เหมือนกัน
ระหว่าง love, family, sex, tradition, integrity, money อะไรทำนองนี้
และผลการตอบคำถามก็คือว่า เรากับเพือนอีกคน ให้ความสำคัญกับ integrity มากที่สุด ในขณะที่เพื่อนคนนึงให้ความสำคัญกับเซ็กส์มากที่สุด
ส่วนเพื่อนเกย์ส่วนใหญ่ในกลุ่มให้ความสำคัญกับ love มากที่สุด
และเกือบทุกคนในกลุ่มให้ความสำคัญกับ tradition น้อยที่สุด
คือผลการทดสอบตอนนั้นทำให้เราค้นพบว่า
ตัวเองไม่ได้ให้ความสำคัญกับ love มากนักน่ะ
แต่ให้ความสำคัญกับ integrity มากกว่าเยอะ
ซึ่งมันทำให้เราแตกต่างจากเพื่อนๆส่วนใหญ่ในกลุ่ม และพอเรามาดู 45
YEARS และพบว่าเราไม่อินกับอีเคทในหนังเรื่องนี้เลย
มันก็เลยทำให้เราสงสัยว่า มันเป็นเพราะปัจจัยนี้ด้วยหรือเปล่า
การที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับ love มากนัก
คือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากเคทอย่างรุนแรงหรือเปล่า
5.ตอนดู 45 YEARS จะนึกถึงหนังอีกสองเรื่องที่ชอบมากๆด้วยนะ ซึ่งก็คือ
5.1 ALWAYS (1989, Steven Spielberg, A+30) เพราะมันใช้เพลง SMOKE GETS IN YOUR EYES เป็นเพลงธีมหลักของหนังเหมือนกัน
แต่เราชอบ ALWAYS มากกว่าเยอะ เพราะมันเป็นหนังที่พูดถึง “ความยินดีที่เห็นคนที่เรารัก ไปมีความรักใหม่กับคนใหม่” น่ะ ซึ่งแน่นอนว่าอีเคทเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับแบบนี้
5.2 INNOCENCE (2000, Paul Cox, Australia, A+30) หนังเรื่องนี้พูดถึงคู่รักที่พลัดพรากจากกันไป 40 ปีก่อนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ฝ่ายหญิงมีสามีใหม่ไปแล้ว
(ใครจะรอนาน 40 ปีจ๊ะ) เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นรัก 3
เส้าของคนชราที่งดงามมากๆๆๆๆๆ แต่เราก็ชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า
45 YEARS เยอะนะ เพราะในที่สุดแล้ว
เรารู้สึกว่ามันทำให้เรารู้สึกถึง “การปล่อยวางจากความรักและคนรัก”
ในระดับนึงน่ะ ในขณะที่เรารู้สึกว่าตัวละครใน 45 YEARS มันไม่ปล่อยวาง
6.เอาล่ะ กลับมาถึงสิ่งที่เราชอบมากๆในหนัง
เราชอบความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของชีวิตน่ะ ชอบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในหนังเกือบทั้งหมดเลย
ตั้งแต่การที่เคทจำได้ว่าสามีอ่าน Kierkegaard ถึงบทไหน,
การพูดถึงเพื่อนที่ในอดีตเคยเป็นคอมมิวนิสต์แต่ตอนนี้กลายเป็นทุนนิยมขั้นสูงไปแล้ว,
การพูดถึงคุณป้า racist ในหมู่บ้าน, การด่ากับภรรยาเรื่องมาร์กาเร็ต แธทเชอร์ อะไรทำนองนี้
เรามองว่าการนำเสนอรายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้มันทำให้ตัวละครในหนังดูสมจริงมากๆและเป็นมนุษย์มากๆ
การใช้เพลงในหนังก็ดีมาก
7.ในอีกแง่นึง
เราก็ชอบที่การล่มสลายทางใจของเคท มันดูเหมือนมาจากสิ่งเล็กๆน้อยๆในสายตาของเราด้วย
คือถึงแม้เราจะไม่ได้อินกับเคท แต่เราก็มองว่ามนุษย์เรามันก็เป็นแบบนี้นี่แหละ
คือแต่ละคนจะมีจุดอ่อนไม่เหมือนกัน และจุดอ่อนของบางคน
หรือสิ่งที่สร้างความทุกข์ใจอย่างยิ่งยวดให้กับบางคน
บางครั้งมันก็เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายตาของคนอื่นๆ
8.ชอบฉากตอนกลางเรื่องที่เป็นเคทนั่งตามลำพังในเรือและเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจด้วย
คือเราว่าฉากแบบนี้นี่แหละเป็นอะไรที่ “ละครเวทีทำไม่ได้
หรือทำได้ยาก” น่ะ
คือพอดีช่วงที่ผ่านมาเราได้ดูละครเวทีที่เราชอบมากๆหลายเรื่อง
และบางทีมันก็ทำให้เราตั้งคำถามถึงข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันระหว่างสื่อภาพยนตร์กับละครเวทีน่ะ
และเราก็พบว่า ไอ้ฉากในภาพยนตร์ที่ “เน้น landscape โดยที่ตัวละครไม่มี action อะไร และไม่พูดอะไร”
นี่แหละ คือสิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆในภาพยนตร์
แต่ละครเวทีทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก เพราะละครเวทีส่วนใหญ่มันไม่เน้น landscape
แม่น้ำ, ท้องทุ่งอะไรอยู่แล้ว มันขาดพลังจาก landscape
ไป และละครเวทีส่วนใหญ่เน้นให้ตัวละคร “พูด”
หรือ “เคลื่อนไหว” ด้วย
แต่เรามักจะชอบ moment ในภาพยนตร์ที่ตัวละครนั่งเฉยๆ,
เดินเฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร และไม่ต้องสร้าง action อะไรที่ทำให้เกิด “เนื้อเรื่อง” ขึ้นมา ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สื่อละครเวทีทำไม่ได้หรือทำได้ยาก
เราก็เลยชอบ moment ช่วงที่เคทนั่งอยู่คนเดียวในเรือตอนกลางเรื่อง
moment แบบนี้มันมักทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ “ค่อยๆซึม” เข้าไปในตัวละครน่ะ
9.เราว่าการที่หนังไม่ใช้ flashback
เลย เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆนะ คือปกติแล้วเราจะชอบหนังแบบนี้น่ะ
คือหนังที่ไม่ใช้ flashback เลย แต่กับหนังเรื่องนี้นั้น
เราแอบสงสัยนิดนึงว่า การที่มันไม่มี flashback เลยนี่
เป็นสาเหตุนึงหรือเปล่าที่ทำให้เราไม่อินกับเคท และไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้อง insecure อะไรขนาดนั้น
10.ยังไงก็ดีใจสุดๆที่ได้ดู 45 YEARS นะ คือมันเป็นหนัง “แนว” ที่เราชอบสุดๆน่ะแหละ
หนังที่เน้นถ่ายทอดชีวิตมนุษย์ธรรมดาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมีอะไรยิ่งใหญ่มากมาย แต่เน้นการจับสังเกตรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของมนุษย์
คล้ายๆกับหนังของ Eric Rohmer
No comments:
Post a Comment