Tuesday, January 05, 2016

A TRICK OF THE LIGHT (1996, Wim Wenders, A+25)

A TRICK OF THE LIGHT กลแสง (1996, Wim Wenders, A+25)

1.หนังเรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็น essay film เพราะมันมีทั้งส่วนที่เป็นสารคดีกับเรื่องแต่งมาผสมรวมกัน ตัวเรื่องหลักๆเล่าเรื่องของสามพี่น้องตระกูล Skladanowsky ผู้สร้างเครื่อง bioscope ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องฉายภาพยนตร์รุ่นแรกของโลก และสามพี่น้องคนนี้ยังใช้เครื่อง bioscope ในการจัดฉายภาพยนตร์ของตนเองต่อหน้าสาธารณชนในวันที่ 1 พ.ย. 1895 ด้วย แต่พอสองพี่น้อง Lumiere จัดฉายภาพยนตร์ของตนเองในวันที่ 28 ธ.ค. 1895 คนส่วนใหญ่ก็หันไปชื่นชมภาพยนตร์ของสองพี่น้อง Lumiere กัน และส่งผลให้ชื่อเสียงในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกหรือบิดาแห่งภาพยนตร์ไปตกอยู่ที่สองพี่น้อง Lumiere กันหมด ทั้งที่จริงๆแล้วสามพี่น้อง Skladanowsky ก็ควรจะได้รับเสียงชื่นชมด้วยเช่นกัน

2.เราดูหนังเรื่องนี้แล้วร้องไห้ โดยที่วิม เวนเดอร์สไม่ต้องพยายามบีบให้เราร้องไห้เลย เราร้องไห้ในส่วนที่เป็นสารคดี ซึ่งเป็นส่วนที่วิม เวนเดอร์สกับทีมงานไปสัมภาษณ์ลูกสาวของ Max Skladanowsky ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประดิษฐ์เครื่อง bioscope โดยตัวลูกสาวนี่มีอายุ 91 ปีแล้วขณะให้สัมภาษณ์

ฉากที่ลูกสาววัย 91 ปี พลิกดูอัลบัมภาพเก่าๆของตระกูลตัวเอง และเล่าเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับภาพแต่ละภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์เมื่อ 70-80 ปีก่อนมันทำให้เราร้องไห้น่ะ ทั้งๆที่เราเองก็ไม่รู้ว่าร้องไห้เพราะอะไรกันแน่ มันเหมือนกับว่าการได้รำลึกถึงอดีต 70-80 ปีก่อนที่ไม่มีวันหวนคืนมามันทำให้เราเศร้ามั้ง เรามักจะเศร้ากับความจริงของโลกนี้ที่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมันไม่มีทางหวนกลับมาได้

แต่เราสงสารตระกูลนี้มากๆเลยนะ คือถ้าไม่ดูหนังเรื่องนี้ เราก็ไม่เคยได้รู้เรื่องอะไรพวกนี้มาก่อนเลย เราก็ยังคงนึกว่า Lumiere เป็นเจ้าแรกอยู่ ทั้งที่จริงๆแล้วมันอาจจะมีหลายๆคนที่ประดิษฐ์ภาพยนตร์และเครื่องฉายภาพยนตร์ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันหลายเจ้าในยุคนั้น เพียงแต่ว่าเครื่องที่ Lumiere ประดิษฐ์ออกมามันเจ๋งสุด และมันได้รับความนิยมมากกว่าเครื่องอื่นๆที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน คนในยุคหลังๆก็เลยจดจำ Lumiere เพียงเจ้าเดียว

เราว่าสามพี่น้อง Skladanowsky นี่อาภัพจริงๆนะ ทำไมชีวิตมนุษย์มันโหดร้ายขนาดนี้ คือนอกจากสามพี่น้องนี่จะประดิษฐ์เครื่อง bioscope ในปี 1895 แล้ว ในเวลาต่อมาพวกเขายังประดิษฐ์วิธีการสร้างภาพสามมิติในแบบของตัวเอง และวิธีการสร้างภาพถ่ายสี และภาพยนตร์สีในแบบของตัวเองด้วย (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาประดิษฐ์มันไม่ได้รับความนิยมแพร่หลาย ทุกคนก็เลยลืมเลือนพวกเขาไปหมด

3.หนังเรื่องนี้เน้นความน่ารักของเด็กหญิงตัวเล็กๆเหมือนหนังเรื่องอื่นๆของเวนเดอร์สอย่าง THE SCARLET LETTER (1973) และ ALICE IN THE CITIES (1974) ด้วย

4.หนังเรื่องนี้ยังพาเราไปรู้จักกับสิ่งประดิษฐ์ต่างๆในยุคนั้นที่เป็นใบเบิกทางไปสู่ภาพยนตร์ด้วย ทั้ง magic wheel, magic lantern และ flip book 


5.แต่สาเหตุที่ไม่ได้ชอบถึงระดับ A+30 เป็นเพราะว่าช่วง 15 นาทีสุดท้ายของหนังเรื่องนี้มันยืดมาก คือหนังเรื่องนี้เวนเดอร์สทำร่วมกับนิสิตมหาลัยแห่งหนึ่ง และช่วง 15 นาทีสุดท้ายมันมีแต่อะไรก็ไม่รู้ซ้ำไปซ้ำมา เราก็เลยสงสัยว่าผู้สร้างหนังกลุ่มนี้ถูกใครบังคับให้ทำหนังยาว 75 นาทีหรือยังไงกันแน่ คือเนื้อหาของหนังมันจบไปใน 60 นาทีแรกแล้ว แล้วก็มีฉาก end credit ต่อมาอีก 15 นาที ซึ่งเป็นการ repeat ฉากบางฉากซ้ำไปซ้ำมา เราก็เลยงงว่ามันทำไปเพื่ออะไร

No comments: