Sunday, January 14, 2024

INVISIBLE TRAIN

 

Film Wish List: A LITTLE LOVE PACKAGE (2022, Gastón Solnicki, Austria/Argentina, 81min)

+++

ถ้าตัวละคร “เด็ก” ที่ชอบที่สุดในชีวิต ก็คงเป็น Suzu Aizawa (Yumi Adachi) จากละครทีวีเรื่อง “บาปกตัญญู” (HOMELESS CHILD) หรือ IE NAKI KO (1994-1995, Japan, 25 episodes) แต่ถ้าหากเป็น “หนังเกี่ยวกับเด็ก” ที่เราชอบที่สุดในชีวิต ก็คือเรื่อง MUSASHINO HIGH VOLTAGE TOWERS (1997, Naoki Nagao, Japan, 118min)

+++

I GO WHERE IT GOES (2023, Jakkrapan Sriwichai, video installation, 20min, A+30)

ฉันไปที่มันไป

 

1.เป็นงาน video installation ที่ชั้น 7 BACC โดยเป็นส่วนหนึ่งของงาน INVISIBLE TRAIN “รถไฟล่องหน” ของคุณ Jakkrapan โดยในงานมี video 5 ชิ้น แต่วันนี้เราเพิ่งมีเวลายืนดูจนจบแค่ 2 ชิ้น เราก็เลยยังไม่สามารถสรุปความเห็นอะไรได้ แต่มาบันทึกไว้ก่อนว่า วันนี้เราได้ยืนดูจนจบ 2 ชิ้นแล้วนะ 555

 

2.อีกชิ้นที่เราได้ดูในวันนี้คือ ON ITS WAY (2023, Jakkrapan Sriwichai, video installation, 33min, A+30) ซึ่งถ้าหากเทียบกันระหว่าง 2 ชิ้นนี้แล้ว เราก็ชอบ I GO WHERE IT GOES มากกว่านะ เพราะ I GO WHERE IT GOES มีลูกเล่นเยอะกว่า อย่างเช่น

 

2.1 การทำภาพสั่นไหวเป็นระยะ ๆ จนภาพออกมาดูคล้ายเป็นงานจิตรกรรม Impressionist

 

2.2 เสียง voiceover ใน I GO WHERE IT GOES ก็ฮากว่า ที่บอกให้ผู้โดยสาร “มีความกังวล” ก่อนก้าวลงจากรถไฟล่องหน หรืออะไรทำนองนี้ 5555

3.เส้นทางรถไฟของ I GO WHERE IT GOES ก็ดูน่าสนใจกว่าด้วยแหละ เพราะเหมือนมันแล่นผ่านสถานที่ที่ exotic กว่าใน ON ITS WAY ในสายตาคนกรุงเทพอย่างเรา เพราะเราได้เห็นทั้งกำแพงเมืองเก่าของเชียงใหม่ และภูเขาในเส้นทางรถไฟสายนี้ ส่วนเส้นทางรถไฟใน ON ITS WAY นั้น มันเต็มไปด้วยอาคารตึกรามบ้านช่องในเชียงใหม่ที่ดูแล้วคล้ายกับในกรุงเทพมาก ๆ

 

4.เนื้อหาใน I GO WHERE IT GOES มี “จุดไคลแมกซ์” เหมือนในภาพยนตร์ด้วย 55555 ซึ่งก็คือฉากที่ศิลปินปะทะกับรปภ.สนามบิน ฉากนี้ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง “สัตว์วิบากหนักโลก” (2004, Phaisit Phanphruksachat, A+30) มาก ๆ เพราะในหนังเรื่อง “สัตว์วิบากหนักโลก” ก็มีฉากที่ผู้กำกับไปถ่ายหนังในสถานีขนส่งหรืออะไรสักอย่าง แล้วก็ต้องปะทะกับรปภ.มั้ง เขาก็เลยแอบถ่ายฉากการปะทะกันนี้มาด้วย แล้วก็เอามาใส่ในหนังด้วยเลย ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ ใครจำรายละเอียดได้ก็มาเสริมใน comment ได้นะ

 

ส่วนใน ON ITS WAY นั้น มันไม่มี “ฉาก climax” แรง ๆ แบบนี้

 

ON ITS WAY (2023, Jakkrapan Sriwichai, video installation, 33min, A+30)

ทางของมัน

 

1.เนื่องจากเราไม่ได้ไปเชียงใหม่มานาน 20 กว่าปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เราไปเชียงใหม่คือปี 2002 เราก็เลยถือโอกาสยืนดูวิดีโอนี้แบบเต็มๆ ไปเลย เพื่อชดเชยการที่เราไม่ได้ไปเชียงใหม่ 55555

 

2.แล้วเราก็พบว่าอาคารบ้านเรือนในเชียงใหม่ ในเส้นทางรถไฟล่องหนเส้นนี้ มันแทบไม่ได้แตกต่างไปจากอาคารบ้านเรือนในกรุงเทพเลย เพียงแต่ผู้คนในเชียงใหม่ในวิดีโอนี้ดูบางตากว่าในกรุงเทพ

 

3.เนื่องจากเราได้ดูงาน video installation ในชุดนี้ไปแค่ 2 ชิ้นจาก 5 ชิ้น เราก็เลยยังไม่สามารถแสดงความเห็นอะไรอย่างแท้จริงได้ แต่ตอนนี้เราแอบสงสัยว่า ตกลง video ชุดนี้สนับสนุนหรือต่อต้านการสร้างรถไฟฟ้ากันแน่นะ 555 เพราะเราเองก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าการสร้างรถไฟฟ้าในเชียงใหม่มันจะก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียอะไรบ้าง แต่ถ้าหากเราไม่ได้ดูวิดีโอชุดนี้มาก่อน เราก็คงไม่รู้ว่ามันเคยมีโครงการจะสร้างรถไฟฟ้าในเชียงใหม่ด้วย

 

4.สาเหตุที่เราแอบสงสัยว่า การสร้างรถไฟฟ้าในเชียงใหม่มันอาจจะมีข้อดีอยู่บ้าง เพราะเรารู้สึกว่า “ฉากสำคัญ” หรือ “ฉาก climax” สำหรับเรา ใน ON ITS WAY มันคือ “ฉากรถติดไฟแดงเป็นเวลานานที่จุดนึง” น่ะ แต่เราไม่ได้จับเวลาตรงจุดนั้นนะว่า มันติดไฟแดงนานเท่าไหร่

 

คือเหมือนใน ON ITS WAY นั้น ตัวรถไฟล่องหน มันจะ “ติดไฟแดง” เป็นระยะ ๆ น่ะ ซึ่งมันติดไฟแดงที่จุดนึงเป็นเวลานานมาก (ในความรู้สึกของคนที่ยืนดูวิดีโอ 555) และหลังจากนั้นมันก็ติดไฟแดงอีกเป็นระยะ ๆ เราก็เลยลองจับเวลาตอนช่วงติดไฟแดงดู แต่เราก็พบว่าการติดไฟแดงในช่วงหลัง ๆ มันจะกินเวลาสั้นมาก เหมือนแต่ละจุดกินเวลาไม่เกิน 30 วินาทีน่ะ ยกเว้นจุดแรกที่มันกินเวลานานมาก

 

ซึ่งเราเข้าใจว่า ถ้าหากมันมีการสร้างรถไฟฟ้าขึ้นมาจริง ๆ ตัวรถไฟฟ้านี้มันก็จะช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องติดไฟแดงเป็นเวลานาน

 

5.ดู ON ITS WAY แล้วทำให้นึกถึงภาพยนตร์ไทยอีก 2 เรื่องที่เราชอบสุดขีดด้วย ซึ่งก็คือ

 

5.1 THE RAPE OF BANGKOK ข่มขืนกรุงเทพ  (2011, Wachara Kanha, Teeranit Siangsanoh, 90min) ที่ถ่ายวิวบนรถไฟฟ้าในกรุงเทพเป็นเวลานานมาก ๆ

 

5.2 โมงยามที่งามที่สุด THE MOST BEAUTIFUL TIME (2014, Teeraphan Ngowjeenanan, 30min, A+30) ที่บันทึกสภาพรถติดในลาดพร้าว ถ้าหากเราจำไม่ผิด

 

No comments: