Tuesday, January 16, 2024

Films seen in the second week of 2024

 

Films seen in the second week of 2024

8-14 JAN 2024

 

In roughly preferential order

 

1.THE MISSION (2023, Amanda McBaine, Jesse Moss, USA, documentary, A+30)

 

2.THE MONEY ORDER (1968, Ousmane Sembene, Senegal, A+30)

 

3.THE BOY AND THE HERON (2023, Hayao Miyazaki, Japan, animation, A+30)

 

4.AN EIDOLON ชวนะจิต (2022, Jaruphon Charoenpichet, 10min, A+30)

 

ชอบหนังแบบนี้อย่างสุดขีด เหมือนเป็นหนังที่สร้างความรู้สึกที่ทรงพลังกับเรามาก ๆ โดยที่เราไม่เข้าใจอะไรมันเลย

 

5.NEXT GOAL WINS (2023, Taika Waititi, A+30)

 

ชอบมาก ๆ ที่มันเหมือนเน้นย้ำประเพณีความเป็น oral history ของชาวซามัวตั้งแต่ฉากแรกของหนัง และพอช่วงท้ายของหนัง มันก็เล่นกับประเพณี oral history ของชาวซามัวอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

ชอบฉากจบ ending credit ของหนังมาก ๆ เลยด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วฉากนั้นมันล้มเหลวในแง่ความตลก เพราะมันเป็นตลกที่ฝืดมาก ๆ ดูแล้วไม่หัวเราะเลย แต่เราชอบฉากนี้มาก ๆ เพราะว่า

 

5.1 มันล้อเลียน “คำคม” ที่มักพบในหนังทั่วไป คำคมแบบให้กำลังใจ ว่าคุณต้องมีศรัทธา แต่คุณมีศรัทธาแค่ไหน คุณก็เดินบนน้ำไม่ได้

 

5.2 รู้สึกว่าในแง่นึง ฉากนั้นมันคือการเทียบเคียงนักฟุตบอลกลุ่มนี้ ในลักษณะเดียวกับนักบุญในตำนานทางศาสนา เหมือนกับว่านักฟุตบอลกลุ่มนี้จะกลายเป็น “เรื่องเล่า” ที่ถูกเล่าสืบต่อ ๆ กันไปอีกนานในภายหลัง แล้วมันก็เลยทำให้เกิดคำถามตามมาโดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจว่า แล้ว “เรื่องเล่าทางศาสนา” ที่ถูกเล่าสืบต่อ ๆ กันมาหลายพันปีนั้น จริง ๆ แล้วมันจริงแค่ไหน ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ปาฏิหาริย์ที่คนยกย่องกันนั้น มันมาจากเหตุการณ์จริงอะไร

 

6.COME FROM AWAY กลับบ้าน (2023, Piyanat Lamor, 21min, A+30)

 

ดีใจสุดขีดมาก ๆ ที่ถึงแม้ว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา Viriyaporn Boonprasert ไม่ได้มีหนังใหม่ออกมา แต่เราก็มีหนังของ Warat Bureephakdee และหนังเรื่องนี้ของคุณ Piyanat Lamor ที่เหมือนเป็นทายาทอสูรของ Viriyaporn Boonprasert 55555

 

7.DIARY OF A FLEETING AFFAIR (2022, Emmanuel Mouret, France, A+30)

 

8.ANALOGOUS COLOR (2023, Kawin Thongpibul, queer film, 29min, A+30)

 

9.SURCURITY รักษาความปลอดภัย (2020, Ratchata Sathongtean, 7min, A+30)

 

ชอบสุด ๆ ที่หนังทั้งเรื่องมีแค่ซีนเดียว แต่นำเสนอปัญหาได้เยอะมาก ทั้งปัญหาเรื่องการรังแกทหารเกณฑ์, การโกงเงินของทหาร, การเอาทหารไปเป็น IO และการสังหารหมู่ 31 ศพที่จังหวัดนครราชสีมา เหมือนคนคิดซีนแบบนี้ได้นี่เขียนบทเก่งสุด ๆ

 

คิดว่าจริง ๆ แล้วเหมือนหนังทั้งเรื่องสามารถถ่ายเป็น long take ได้เลยนะ

 

10.157,000 WA (2023, Praewalai Chaivisan, 30min, A+30)

 

เป็นหนังที่เน้นถ่าย “แสงอาทิตย์ยามเย็น” เกือบตลอดทั้งเรื่องเลย 55555

 

11.I GO WHERE IT GOES (2023, Jakkrapan Sriwichai, video installation, 20min, A+30)

 

12.ON ITS WAY (2023, Jakkrapan Sriwichai, video installation, 33min, A+30)

 

13.BORDERLAND TALE (2023, Nontawat Machai, 11min, A+25)

 

ชอบประเด็นที่หนังเรื่องนี้พูดถึง เรื่องชาวเมียนมาที่ถูกยิงตายตรงแม่น้ำที่คั่นระหว่างประเทศไทยกับเมียนมา ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด เพราะจริง ๆ แล้วเราเองก็ไม่เคยเห็นข่าวนี้ผ่านหูผ่านตามาก่อน และหนังเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้เลย

 

แต่พอ “วิธีการนำเสนอ” ของหนังเรื่องนี้ ออกมาเป็นบทกวี และการแสดงแนว ๆ physical theater (ไม่รู้ใช่หรือเปล่า) มันก็เลยเหมือนสร้างระยะห่างระหว่างเรากับ “ความเจ็บปวดของสิ่งที่เกิดขึ้น” คือถ้าหากมันมีการใส่ footage ข่าวจริงหรือภาพจากเหตุการณ์จริงหรือผู้อพยพจริงแทรกเข้ามาด้วยบ้าง เราก็อาจจะจูนติดกับความเจ็บปวดของสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากกว่านี้ เพราะเหมือนเราเองก็ไม่เคยเห็นข่าวนี้มาก่อน

 

เหมือนปัญหาที่เรามีกับหนังเรื่องนี้คล้ายกับปัญหาที่เรามีกับหนังเรื่อง IRON BUTTERFLIES (2023, Roman Liubyi, Ukraine/Germany, documentary, A+25) ที่นำเสนอเหตุการณ์ที่เครื่องบินถูกยิงตกในยูเครน แต่นำเสนอออกมาในแบบที่เป็นกวีมาก ๆ เหมือนกัน

ซึ่งจริง ๆ แล้วปกติเราชอบหนังแนวกวี ๆ นะ แต่ก็มีหนังกวี/การเมืองบางเรื่อง ที่พอเราดูแค่รอบเดียว แล้วเหมือนสมองของเรา มันไม่สามารถซึมซับความงามหรือพลังของ “บทกวี” ในหนังได้ภายในการดูรอบแรกน่ะ มันเหมือนเป็นสิ่งที่เราต้องใช้เวลาในการปรับจูนอยู่เหมือนกัน

 

14.OUT ออก (2022, Amata, 6min, A+25)

 

เป็นหนังที่ตัดสลับภาพจาก found footage ผู้คนที่นั่งอยู่ริมท้องถนนในกรุงปารีสมั้ง เมื่อราว 100 ปีก่อน แล้วก็ตัดสลับกับภาพโถฉี่ในบาร์เหล้าแห่งหนึ่งในไทย กับภาพฝรั่งเดินตามท้องถนนในแหล่งท่องเที่ยวในไทย มีการพูดถึงอะไรเกย์ ๆ ในห้องน้ำด้วย ดูแล้วงงมาก ๆ ว่า หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไร 55555

 

15.WILL อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด (2021, Warat Bureephakdee, 12min, A+25)

 

แอบสงสัยว่ามันเป็นหนังที่ทำภายใต้ “โจทย์” อะไรหรือเปล่า หรือทำเพื่อส่งอาจารย์ในวิชาอะไรสักอย่างหรือเปล่า 55555 เพราะดูแล้วก็สนุกดี แต่จะสงสัยจุดประสงค์ของหนังว่า ทำขึ้นมาเพื่ออะไร จะว่ามันเสียดสีการเมือง มันก็อาจจะไม่ใช่

 

แต่ถือได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนัง narrative fiction ที่เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาเพียงไม่กี่เรื่องของคุณ Warat ที่เราได้ดู เพราะหนังเรื่องอื่น ๆ ของคุณ Warat ที่เราได้ดูนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะออกมาเป็นหนังทดลอง + essay film มากกว่า

 

16.FUCK AROUND AND FIND OUT เดี๋ยวมึงจะโดนดี (2023, Naruepol Srimeung, 24min, A+)

 

ชอบช่วงแรก ๆ ของหนังที่เป็นหนังเกย์สยองขวัญ แต่พอผีปรากฏตัวแล้วมันเริ่มเป็นหนังตลก เราก็จะเฉย ๆ เพราะเราไม่ค่อยอินกับหนังตลก

 

สรุปว่าใน 2 สัปดาห์แรกของปี เราดูหนังไปแล้ว 21+16 = 37 เรื่อง

No comments: