Monday, January 29, 2024

Films seen in the fourth week of 2024

 

Films seen in the fourth week of 2024

22-28 JAN 2024

 

In roughly preferential order

 

1.BAZMANDE (THE SURVIVOR) (1995, Seifollah Dad, Iran, A+30)

 

2.THE HOLY INNOCENTS (1984, Mario Camus, Spain, A+30)

 

3.WILDERNESS THERAPY (2022, Edouard Deluc, France, A+30)

 

4.EMPTY STATION สถานีว่าง (2023, Saharat Ungkitphaiboon, 30min, A+30)

 

จริง ๆ แล้วเราว่า wavelength ของเราไม่ตรงกับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่นะ แต่ก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ อยู่ดี เพราะเราชอบความแปลกประหลาด เป็นตัวของตัวเองมาก ๆ ของหนังน่ะ

 

คือพอพูดถึง “สถานที่โล่ง ๆ” กับหนังทดลองแล้ว ส่วนใหญ่เราก็จะนึกถึง “หนังบรรยากาศ” โดยเฉพาะหนังของ Chaloemkiat Saeyong โดยเฉพาะหนังเรื่อง HISTORY ON THE AIR (2009, 62min, A+30) ที่มีส่วนหนึ่งของหนังเป็นการถ่ายภาพมุมร้าง ๆ ต่าง ๆ ของท่าอากาศยานดอนเมือง คือหนังทดลองส่วนใหญ่ที่เราได้ดูจะ react ต่อสถานที่โล่ง ๆ ด้วยการคว้าจับบรรยากาศของมันเอาไว้ โดยไม่ได้ไป intervene ในสถานที่นั้นน่ะ ซึ่งอาจจะรวมถึงหนังของ Chantal Akerman อย่างเช่น HOTEL MONTEREY (1973) ด้วย

 

หรือถ้าหากพูดถึงหนังเกี่ยวกับสถานีรถไฟของไทยแล้ว เราก็จะนึกถึงหนังอย่าง HUALAMPONG (2004, Chulayarnnon Siriphol,12min) ที่โฟกัสไปที่กิจวัตรของชายคนหนึ่งในหัวลำโพง, หนังที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตคนต่างจังหวัดที่เข้ามาผจญชีวิตในกรุงเทพ อย่างเช่น “สถานีกรุงเทพ” (1997, บิน กิจขจรพงษ์), เด็กชายจากต่างแดน (2007, Tosaporn Mongkol) , etc. หรือหนังที่สร้างสถานการณ์ให้ตัวละครคุยกันในสถานีรถไฟ อย่างเช่น SAME SUN, DIFFERENT MOON (2022, Nichkamon Kumprasit)

 

เราก็เลยรู้สึกว่า EMPTY STATION มันเหมือนใช้ประโยชน์จากสถานีว่าง (มันคือสถานีรถไฟใช่ไหม) ได้อย่างพิสดารแปลกประหลาดไม่ซ้ำแบบหนังเรื่องอื่น ๆ ได้ดีมาก เพราะหนังเรื่องนี้ให้ตัวละครนางเอกคุยกับเสียงลึกลับในสถานีไปเรื่อย ๆ ซึ่งพอดูจบแล้ว เราก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไรเลยแม้แต่น้อย คือนางเอกก็ไม่ใช่คนบ้า, เสียงลึกลับเราก็ไม่แน่ใจว่ามาจากไหน และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าจุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้คืออะไร หนังเรื่องนี้ต้องการบอกอะไรกับผู้ชม หนังเรื่องนี้มีสาระแก่นสารอะไรหรือไม่ 555555

 

คือเหมือนตอนแรกเรานึกว่า พอเราได้ฟังเสียงลึกลับคุยกับนางเอกไปเรื่อย ๆ เราก็จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเสียงลึกลับ หรือได้ข้อสรุปเกี่ยวกับชีวิตของนางเอก หรือได้คติสอนใจแบบ “นิทานเวตาล” “นิทานอีสป” “นิทานอีสัตว์”, etc. หรือได้การสะท้อนสังคม, การเมือง etc.

 

ซึ่งถึงแม้เราไม่ได้ข้อสรุปอะไรแบบนี้เลยจากหนังเรื่องนี้ เราก็ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ อยู่ดีนะ เพราะเรารู้สึกว่าอะไรแบบนี้มันให้ความรู้สึกที่เป็น “อิสระ” ดีน่ะ เหมือนหนังเรื่องนี้มันแตกต่าง เป็นตัวของตัวเองดี ไม่ซ้ำแบบใคร และเหมือนมันก็ไม่ได้ทำตามแนวทางที่หนังเรื่องอื่น ๆ เคยทำไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของหนังสารคดี, หนัง narrative fiction และหนังทดลองแนวบรรยากาศ เหมือนหนังเรื่องนี้มันอยากจะทำอะไรก็ทำ และก็ไม่ได้ให้ message หรืออะไรไปครอบหนังไว้จนขาดความเป็นอิสระไปด้วย (จริง ๆ แล้วหนังมันอาจจะมี message ก็ได้นะ แต่เราแค่ไม่เข้าใจมันเอง 555)

 

อีกอย่างที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้ ก็คือดนตรีประกอบของหนัง เหมือนคุณ Saharat น่าจะเชี่ยวชาญด้านดนตรีคลาสสิคมาก ๆ และเขาก็ใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี

 

5.THE FORBIDDEN PLAY (2023, Hideo Nakata, Japan, A+30)

 

6.BODY HOME (2023, Orawan Arunrak, video installation, A+30)

 

7.HOME BODY (2023, Orawan Arunrak, video installation, A+30)

 

8.THE END WE START FROM (2023, Mahalia Belo, UK, A+30)

 

9.KYRIE NO UTA (2023, Shinji Iwai, Japan, A+30)

 

10.MILLER’S GIRL (2024, Jade Halley Bartlett, A+30)

 

11.IF IT’S TOO BAD TO BE TRUE, IT COULD BE DISINFORMATION (1985, Martha Rosler, 17min, A+30)

 

12.THE THREE MUSKETEERS: MILADY (2023, Martin Bourboulon, France, A+25)

 

13. เหมรฺย MEI (2024, Ekkachai Srivicha, A+25)

 

14.FIGHTER (2024, Siddharth Anand, India, 160min, A+25)

 

สรุปว่า ใน 4 สัปดาห์แรกของปี 2024 เราดูหนังไปแล้ว 48+14 = 62 เรื่อง

No comments: