Films seen in the fourth week of 2024
22-28 JAN 2024
In roughly preferential order
1.BAZMANDE (THE SURVIVOR) (1995, Seifollah Dad, Iran, A+30)
2.THE HOLY INNOCENTS (1984, Mario Camus, Spain, A+30)
3.WILDERNESS THERAPY (2022, Edouard Deluc, France, A+30)
4.EMPTY STATION สถานีว่าง (2023, Saharat
Ungkitphaiboon, 30min, A+30)
จริง ๆ แล้วเราว่า wavelength ของเราไม่ตรงกับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่นะ แต่ก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ อยู่ดี
เพราะเราชอบความแปลกประหลาด เป็นตัวของตัวเองมาก ๆ ของหนังน่ะ
คือพอพูดถึง “สถานที่โล่ง ๆ” กับหนังทดลองแล้ว
ส่วนใหญ่เราก็จะนึกถึง “หนังบรรยากาศ” โดยเฉพาะหนังของ Chaloemkiat Saeyong
โดยเฉพาะหนังเรื่อง HISTORY ON THE AIR (2009, 62min, A+30) ที่มีส่วนหนึ่งของหนังเป็นการถ่ายภาพมุมร้าง ๆ ต่าง ๆ ของท่าอากาศยานดอนเมือง
คือหนังทดลองส่วนใหญ่ที่เราได้ดูจะ react ต่อสถานที่โล่ง ๆ ด้วยการคว้าจับบรรยากาศของมันเอาไว้
โดยไม่ได้ไป intervene ในสถานที่นั้นน่ะ ซึ่งอาจจะรวมถึงหนังของ
Chantal Akerman อย่างเช่น HOTEL MONTEREY (1973) ด้วย
หรือถ้าหากพูดถึงหนังเกี่ยวกับสถานีรถไฟของไทยแล้ว
เราก็จะนึกถึงหนังอย่าง HUALAMPONG (2004, Chulayarnnon Siriphol,12min) ที่โฟกัสไปที่กิจวัตรของชายคนหนึ่งในหัวลำโพง,
หนังที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตคนต่างจังหวัดที่เข้ามาผจญชีวิตในกรุงเทพ อย่างเช่น “สถานีกรุงเทพ”
(1997, บิน กิจขจรพงษ์), เด็กชายจากต่างแดน
(2007, Tosaporn Mongkol) , etc. หรือหนังที่สร้างสถานการณ์ให้ตัวละครคุยกันในสถานีรถไฟ
อย่างเช่น SAME SUN, DIFFERENT MOON (2022, Nichkamon Kumprasit)
เราก็เลยรู้สึกว่า EMPTY STATION มันเหมือนใช้ประโยชน์จากสถานีว่าง (มันคือสถานีรถไฟใช่ไหม)
ได้อย่างพิสดารแปลกประหลาดไม่ซ้ำแบบหนังเรื่องอื่น ๆ ได้ดีมาก
เพราะหนังเรื่องนี้ให้ตัวละครนางเอกคุยกับเสียงลึกลับในสถานีไปเรื่อย ๆ
ซึ่งพอดูจบแล้ว เราก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไรเลยแม้แต่น้อย คือนางเอกก็ไม่ใช่คนบ้า,
เสียงลึกลับเราก็ไม่แน่ใจว่ามาจากไหน และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าจุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้คืออะไร
หนังเรื่องนี้ต้องการบอกอะไรกับผู้ชม หนังเรื่องนี้มีสาระแก่นสารอะไรหรือไม่
555555
คือเหมือนตอนแรกเรานึกว่า
พอเราได้ฟังเสียงลึกลับคุยกับนางเอกไปเรื่อย ๆ
เราก็จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเสียงลึกลับ หรือได้ข้อสรุปเกี่ยวกับชีวิตของนางเอก
หรือได้คติสอนใจแบบ “นิทานเวตาล” “นิทานอีสป” “นิทานอีสัตว์”, etc. หรือได้การสะท้อนสังคม, การเมือง etc.
ซึ่งถึงแม้เราไม่ได้ข้อสรุปอะไรแบบนี้เลยจากหนังเรื่องนี้
เราก็ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ อยู่ดีนะ เพราะเรารู้สึกว่าอะไรแบบนี้มันให้ความรู้สึกที่เป็น
“อิสระ” ดีน่ะ เหมือนหนังเรื่องนี้มันแตกต่าง เป็นตัวของตัวเองดี ไม่ซ้ำแบบใคร
และเหมือนมันก็ไม่ได้ทำตามแนวทางที่หนังเรื่องอื่น ๆ เคยทำไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของหนังสารคดี,
หนัง narrative fiction และหนังทดลองแนวบรรยากาศ เหมือนหนังเรื่องนี้มันอยากจะทำอะไรก็ทำ
และก็ไม่ได้ให้ message หรืออะไรไปครอบหนังไว้จนขาดความเป็นอิสระไปด้วย
(จริง ๆ แล้วหนังมันอาจจะมี message ก็ได้นะ แต่เราแค่ไม่เข้าใจมันเอง
555)
อีกอย่างที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้
ก็คือดนตรีประกอบของหนัง เหมือนคุณ Saharat น่าจะเชี่ยวชาญด้านดนตรีคลาสสิคมาก
ๆ และเขาก็ใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
5.THE FORBIDDEN PLAY (2023, Hideo Nakata, Japan, A+30)
6.BODY HOME (2023, Orawan Arunrak, video installation, A+30)
7.HOME BODY (2023, Orawan Arunrak, video installation, A+30)
8.THE END WE START FROM (2023, Mahalia Belo, UK, A+30)
9.KYRIE NO UTA (2023, Shinji Iwai, Japan, A+30)
10.MILLER’S GIRL (2024, Jade Halley Bartlett, A+30)
11.IF IT’S TOO BAD TO BE TRUE, IT COULD
BE DISINFORMATION (1985, Martha Rosler, 17min, A+30)
12.THE THREE MUSKETEERS: MILADY (2023,
Martin Bourboulon, France, A+25)
13. เหมรฺย MEI
(2024, Ekkachai Srivicha, A+25)
14.FIGHTER (2024, Siddharth Anand, India, 160min, A+25)
สรุปว่า ใน 4 สัปดาห์แรกของปี 2024 เราดูหนังไปแล้ว
48+14 = 62 เรื่อง
No comments:
Post a Comment