A WHOLE NIGHT (TOUTE UNE NUIT)
(1982, Chantal Akerman, Belgium, A+30)
ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะมีหนัง แบบนี้อยู่ในโลกด้วย
คือมันเป็นหนังที่สร้างขึ้น ใหม่แต่ทำออกมาแล้วนึกว่าเป ็นหนัง found footage ที่ตัดฉากไคลแมกซ์จากหนังโร แมนติก 50 เรื่องเข้ามารวมไว้ในหนังเร ื่องเดียวกันน่ะ หนังตลอดทั้งเรื่องนำเสนอฉา กสั้นๆของคู่รักแต่ละคู่ในค ืนคืนหนึ่ง โดยเรานับไม่หวาดไม่ไหวว่าม ันมีกี่คู่ในหนังเรื่องนี้
อาจจะมีประมาณ 50คู่ได้มั้ง เราไม่รู้ที่มาที่ไปของคู่ร ักแต่ละคู่เลย
ไม่รู้ว่าตัวละครแต่ละตัวใน หนังเรื่องนี้มันมีประวัติค วามเป็นมายังไงบ้าง
เราเห็นบางคู่เพิ่งพบกันเป็ นครั้งแรก, บางคู่ก็ร่ำลากัน,
บางคู่ก็งอนง้อกัน, บางคู่ก็คืนดีกัน, บางคู่ก็แยกกันแล้วก็กลับมา คืนดีกันใหม่
มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกให ม่มากสำหรับเรา
คือเราว่าเราดูหนังมาเยอะมา กแล้วนะ แต่หนังแบบเรื่องนี้นี่เป็น สิ่งที่เราไม่เคยเจอมาก่อนจ ริงๆ
สิ่งที่เราชอบมากในหนังเรื่ องนี้ก็มีเช่น
1.เรารู้สึกรุนแรงมากๆกับบา งฉาก
ทั้งๆที่เราไม่รู้ที่มาที่ไ ปของตัวละครเลย อย่างเช่นฉากที่เด็กสาวคนนึ งเข้ามานั่งหมดอาลัยตายอยาก อยู่ในบาร์
จนชายวัยประมาณ 30-40 ปีที่ยืนฟังเพลงอยู่ใกล้ๆอา จจะเวทนาเด็กสาวคนนี้
ก็เลยชวนเด็กสาวคนนี้เต้นรำ
เรารู้สึกว่าฉากนี้มันซึ้งม ากๆ
ทั้งๆที่เราไม่รู้ประวัติขอ งตัวละครเลย เราไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้มี ชีวิตบัดซบมายังไงบ้างก่อนท ี่จะเดินเข้ามาในฉากนี้
เราไม่รู้ว่าเด็กสาวกับชายห นุ่มในฉากนี้จะพัฒนาความสัม พันธ์กันต่อไปยังไง
เรารู้แค่ว่าอารมณ์ในฉากนี้ มันซึ้งสุดๆสำหรับเรา
และมันก็มีฉากอื่นๆอีกที่ทำ ให้เรารู้สึกรุนแรงแบบนี้
และมันก็เลยทำให้เราตั้งข้อ สงสัยว่า จริงๆแล้วอารมณ์ของเรามันถู กกระตุ้นได้ง่ายกว่าที่คาดม ากๆ
คือปกติแล้วเราจะนึกว่า หนังมันต้องปูตัวละครมาอย่า งดีก่อน ต้องเล่าเรื่องมาเรื่อยๆอย่ างดีก่อน
ต้องไล่เรียงลำดับขั้นทางอา รมณ์มาอย่างดีก่อน แล้วถึงค่อยพาผู้ชมเข้าสู่อ ารมณ์รุนแรงสุดๆในฉาก
climax
แต่หนังเรื่อง A WHOLE NIGHT แสดงให้เห็นว่า อยู่ดีๆอารมณ์ของเราก็พุ่งป รี๊ดได้เลย
โดยไม่ต้องมีการปูเรื่อง อารัมภบทใดๆทั้งสิ้น แล้วไอ้อารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดไ ด้อย่างทันทีนี่มันมาจากไหน กัน
หรือมันเป็นเพราะเราถูกโปรแ กรมมาแล้วจาก
“สังคม” และ “ภาพยนตร์”
ที่เราเคยดูๆกันมาแล้วก่อนห น้านี้ คือสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่ และภาพยนตร์/ ละครทีวีที่เราเคยดูมาแล้วก่ อนหน้านี้
มันได้ปลูกฝังบางอย่างให้กั บเราโดยที่เราไม่รู้ตัว มันได้ปลูกฝังเราว่า
พอเราเห็น “ฉากแบบนี้” และ “ตัวละครทำแบบนี้” เราควรจะต้องรู้สึกแบบนี้โด ยอัตโนมัติ
คือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เห มือนกับว่า
เวลาหนังทั่วๆไปมันเล่าเรื่ อง narrative แบบปกติ
มันเหมือนกับว่าหนังทั่วๆไป มันแสดงให้เราเห็นตัวอักษร A, B, C, D, E,
F,G จนไปถึงฉากไคลแมกซ์ และจบด้วย X, Y, Z น่ะ
แต่หนังเรื่อง A WHOLE NIGHT นี้ เหมือนตัดมาแค่ฉาก “U V W” จากหนังเรื่องนึง แล้วต่อด้วยฉาก “S T U” จากหนังอีกเรื่องนึง แล้วต่อด้วยฉาก “M N O” จากหนังอีกเรื่องนึงน่ะ แต่เพียงแค่เราเห็นฉาก “U V W” เท่านั้นแหละ อารมณ์เราก็พุ่งปรี๊ดถึงขีด สุดเหมือนเราได้ดู “A,
B, C..จนถึง T” มาแล้วก่อนหน้านี้เลย เพราะ “สังคม” และ “ภาพยนตร์” ที่เราเคยดูมาก่อนหน้านี้ มันทำให้เราจินตนาการเรื่อง ราวก่อนหน้าฉากเหล่านี้ได้เ องโดยอัตโนมัติ
และมันทำให้เราแสดงปฏิกิริย าทางอารมณ์โดยอัตโนมัติต่อฉ าก cliché เหล่านี้ได้ในทันที
2.เพราะฉะนั้นการดู A WHOLE NIGHT ก็เลยทำให้เรากลัวตัวเองมาก ๆ เพราะมันทำให้เราตระหนักว่า อารมณ์ที่เราคิดว่ามัน “จริง” หรือ
มัน “งดงาม” มากๆที่เกิดขึ้นกับตัวเราเว ลาเราดูหนังเรื่องต่างๆนั้น จริงๆแล้วอารมณ์เหล่านี้มัน ถูกกระตุ้นได้ง่ายมากหรือถู ก manipulate
ได้อย่างง่ายดายสุดๆโดยผู้ส ร้างภาพยนตร์
คือเพียงแค่เขาใช้ดนตรีประก อบแบบนี้ และตัวละครทำกิจกรรมแบบนี้ใ นฉากสถานที่แบบนี้
แค่นั้นเขาก็สามารถ manipulate อารมณ์คนดูได้อย่างรุนแรงแล ้ว
เพราะคนดูเหมือนกับถูกตั้งโ ปรแกรมไว้แล้วว่าต้องรู้สึก อย่างนี้ๆเวลาได้พบได้ยินอะ ไรแบบนี้
หรือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เ หมือนกับว่า
การดู A WHOLE NIGHT เหมือนกับการดู “นักมายากลที่เปิดเผยเคล็ดล ับของตนเอง”
น่ะ คือในขณะที่เราดูหนังเรื่อง อื่นๆนั้น
เราเหมือนกับดูนักแสดงมายาก ลที่เล่นเก่ง ทำให้เราทึ่งตะลึงงันกับการ แสดงของเขา
แต่เราไม่รู้ว่าเขาทำอะไรแบ บนั้นได้ยังไง แต่พอเราดู A WHOLE NIGHT เรากลับรู้สึกทึ่งตะลึงงันไ ปกับกลของเขา และเราก็รู้ด้วยว่าเขาทำแบบ นั้นได้ยังไง
เพราะเขาเปิดเผยกลไกต่างๆให ้เราดูจนหมดไปด้วยในขณะเดีย วกัน
3.อีกฉากที่ชอบสุดๆในเรื่อง นี้คือฉากที่
สามีภรรยาวัยประมาณ 50-60 ปีนั่งดูโทรทัศน์กัน
แล้วภรรยาก็ชวนสามีออกไปเดิ นนอกบ้านในยามกลางคืนเพราะอ ากาศดี
ส่วนฉากที่เราว่าเล่นกับ cliché หรือเล่นกับ “โปรแกรมที่ฝังอยู่ในหัวคนด ู”
ได้ดีสุดๆอีกฉากนึง คือฉากที่ชายหนุ่มสองคนกับห ญิงสาวหนึ่งคนนั่งทำหน้าตาบ อกอารมณ์ได้ยากอยู่ในบาร์
แล้วทั้งสามคนก็เดินออกมาจา กบาร์ แล้วชายหนุ่มคนนึงก็พูดกับห ญิงสาวว่า “เธอต้องเลือกเราคนใดคนหนึ่ งแล้วล่ะ” แล้วทั้งสามคนก็เตลิดกันไปค นละทิศคนละทาง
คือหนังไม่ต้องเล่าประวัติค วามเป็นมาของตัวละคร
3 คนนี้ใดๆทั้งสิ้น แต่หนังอาศัยเวลาแค่ 30 วินาทีเท่านั้น หนังก็สามารถกระตุ้น “โปรแกรมฝังหัวคนดูเกี่ยวกั บหนังรักสามเส้า”
ให้ทำงานได้ในทันที คือหนังเรื่องนี้อาศัยเวลาแ ค่ 30 วินาทีในการทำให้อารมณ์ของเ ราพุ่งปรี๊ดขึ้นมาได้เท่ากั บการดูหนังรักสามเส้าจบไปแล ้วสององก์แรก
4.ขำที่มีประมาณ 30 ฉากในเรื่องนี้ที่ตัวละครต้ องวิ่งไล่ตามกันเพื่อไขว่คว ้าความรักเอาไว้ให้ได้
คือฉากแบบนี้มันเป็น cliché ของหนังโรแมนติกจริงๆน่ะแหล ะ
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า ฉากวิ่งไล่ตามกันส่วนใหญ่ใน หนังเรื่องนี้เป็นการ “วิ่งขึ้นลงบันได” ซึ่งแตกต่างจากหนังโรแมนติก ของญี่ปุ่นที่ชอบมีตัวละครว ิ่งๆแบบนี้เหมือนกันในช่วงท ้ายเรื่อง
แต่มันเป็นการวิ่งไปตามถนนใ นแนวระนาบ เราเดาว่ามันคงเป็นเพราะ “สภาพบ้านเมืองที่แตกต่างกั น” น่ะแหละ
คือในเบลเยียมผู้คนคงอาศัยอ ยู่ในตึกหลายชั้นแบบนี้ เพราะฉะนั้นคู่รักก็เลยต้อง วิ่งไล่ตามกันตามขั้นบันไดใ นอาคาร
แต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คงไม่ไ ด้ใช้ชีวิตอยู่ในอพาร์ทเมนท ์หลายชั้นแบบในเบลเยียม
เพราะฉะนั้นคู่รักในหนังญี่ ปุ่นก็เลยต้องวิ่งไล่ตามกัน ในแนวระนาบแทน
5.หนังที่คล้ายกับเรื่อง A WHOLE NIGHT มากๆคือ LOVE (2003, Tracey Moffatt, A+30) แต่ LOVE เป็นหนัง found footage จริงๆ และเป็นการรวบรวมฉากโรแมนติ กจากหนังราว 50 เรื่องมาไว้ด้วยกันจริงๆ ซึ่งมันจะส่งผลทางอารมณ์ต่อ เราในแบบที่แตกต่างจาก
A WHOLE NIGHT เพราะเวลาที่เราดู A WHOLE NIGHT นั้น หัวสมองของเราจะจินตนาการ “เรื่องราวก่อนหน้า”
ของตัวละครแต่ละตัวโดยอัตโน มัติ แต่เวลาที่เราดู LOVE นั้น เรารู้อยู่แล้วว่าตัวละครเห ล่านี้มันมีเรื่องราวที่เฉพ าะมากๆในหนังของตัวเอง
เราก็เลยไม่จินตนาการเรื่อง ราวของตัวละครเหล่านี้ แต่มุ่งความสนใจไปที่การเชื ่อมโยงอากัปกิริยาที่คล้ายๆ กันของตัวละครในหนังเรื่องต ่างๆแทน
6.หนังอีกเรื่องที่สามารถนำ มาเปรียบเทียบกับ
A WHOLE NIGHT ได้คือ DAY OF THE FULL MOON (1998,
Karen Shakhnazarov, Russia, A+30) ที่ตลอดทั้งเรื่องมีแต่ตัวล ะครจ้องกันไปจ้องกันมา
คือมีตัวละครประมาณ 100 ตัวได้มั้ง เป็น A มอง B แล้ว B ก็มอง C แล้ว C ก็มอง D ต่อไปเรื่อยๆจนจบเรื่อง
โดยเราแทบไม่รู้ที่มาที่ไปข องตัวละครเลย เรารู้แค่เรื่องราวเล็กๆน้อ ยๆของตัวละครแต่ละตัวในนาที ที่มองเห็นตัวละครอีกคนหนึ่ งเท่านั้น
อย่างไรก็ดี DAY OF THE FULL MOON ก็แตกต่างจาก A WHOLE NIGHT มากๆ เพราะ DAY OF THE FULL MOON ไม่ได้เล่นกับ cliché ทางภาพยนตร์น่ะ หนังก็เลยไม่ได้กระตุ้นจินต นาการของเราให้สร้างเรื่องร าวก่อนหน้าเกี่ยวกับตัวละคร แต่ละตัวในแบบเดียวกับ
A WHOLE NIGHT
สรุปว่ากราบตีน Chantal Akerman จริงๆค่ะ คือพอได้ดู HOTEL MONTEREY (1972) กับ A WHOLE NIGHT (1982) ที่ห้องสมุดธรรมศาสตร์ในวัน อาทิตย์ที่ผ่านมา
เราก็ขอยกให้ Chantal Akerman เป็น 1 ใน
3 ของผู้กำกับหญิงที่เราชอบมา กที่สุดในชีวิตในทันที
(ส่วนอีกสองคนคือ Marguerite Duras กับ Ulrike
Ottinger)
หนังของชองตาลที่เราเคยดูมา ก่อนหน้านี้
http:// celinejulie.blogspot.sg/ 2015/10/ rip-chantal-akerman.html
ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะมีหนัง
มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกให
1.เรารู้สึกรุนแรงมากๆกับบา
เรารู้สึกว่าฉากนี้มันซึ้งม
และมันก็มีฉากอื่นๆอีกที่ทำ
แต่หนังเรื่อง A WHOLE NIGHT แสดงให้เห็นว่า อยู่ดีๆอารมณ์ของเราก็พุ่งป
หรือมันเป็นเพราะเราถูกโปรแ
คือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เห
แต่หนังเรื่อง A WHOLE NIGHT นี้ เหมือนตัดมาแค่ฉาก “U V W” จากหนังเรื่องนึง แล้วต่อด้วยฉาก “S T U” จากหนังอีกเรื่องนึง แล้วต่อด้วยฉาก “M N O” จากหนังอีกเรื่องนึงน่ะ แต่เพียงแค่เราเห็นฉาก “U V W” เท่านั้นแหละ อารมณ์เราก็พุ่งปรี๊ดถึงขีด
2.เพราะฉะนั้นการดู A WHOLE NIGHT ก็เลยทำให้เรากลัวตัวเองมาก
หรือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เ
3.อีกฉากที่ชอบสุดๆในเรื่อง
ส่วนฉากที่เราว่าเล่นกับ cliché หรือเล่นกับ “โปรแกรมที่ฝังอยู่ในหัวคนด
คือหนังไม่ต้องเล่าประวัติค
4.ขำที่มีประมาณ 30 ฉากในเรื่องนี้ที่ตัวละครต้
5.หนังที่คล้ายกับเรื่อง A WHOLE NIGHT มากๆคือ LOVE (2003, Tracey Moffatt, A+30) แต่ LOVE เป็นหนัง found footage จริงๆ และเป็นการรวบรวมฉากโรแมนติ
6.หนังอีกเรื่องที่สามารถนำ
อย่างไรก็ดี DAY OF THE FULL MOON ก็แตกต่างจาก A WHOLE NIGHT มากๆ เพราะ DAY OF THE FULL MOON ไม่ได้เล่นกับ cliché ทางภาพยนตร์น่ะ หนังก็เลยไม่ได้กระตุ้นจินต
สรุปว่ากราบตีน Chantal Akerman จริงๆค่ะ คือพอได้ดู HOTEL MONTEREY (1972) กับ A WHOLE NIGHT (1982) ที่ห้องสมุดธรรมศาสตร์ในวัน
หนังของชองตาลที่เราเคยดูมา
http://
No comments:
Post a Comment