THE
GOLDEN LEGEND (2015, Olivier Smolders, France, A+30)
1.หลังจาก Olivier Smolders มีหนังติดอันดับประจำปีของเราไปแล้วจาก
THE SHADOW’S SHARE (2014) เขาก็อาจจะมีหนังติดอันดับประจำปีของเราอีกเป็นปีที่สองติดต่อกันด้วย
THE GOLDEN LEGEND สิ่งที่เราชอบในหนังของเขาทั้งสองเรื่องนี้ก็คือ
“ความสยองขวัญ” ของมันน่ะ ซึ่งเป็นความสยองขวัญในแบบที่เราไม่ค่อยพบในหนัง
horror ทั่วไปด้วย แต่อาจจะพบได้ในหนังสั้นอย่าง A
STORY FOR THE MODLINS (2012, Sergio Oksman, Spain, documentary) ที่สร้างความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจเราได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างจากหนังสยองขวัญทั่วไป
2.ใน THE GOLDEN LEGEND นั้น
เราได้ฟังชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเล่นเป็นคนโรคจิต เปิดหนังสือ scrap book ของเขาให้เราดู โดยหนังสือ scrap book นี้เป็นการตัดแปะภาพที่หลากหลาย
ซึ่งรวมถึงภาพถ่ายของฆาตกรโรคจิต, ภาพวาดใบหน้าของฆาตกรโรคจิต
และภาพวาดจากหนังสือโบราณ ในขณะที่ชายคนนี้พร่ำพูดถึงฆาตกรโรคจิตที่มีตัวตนจริงหลายๆคนในอดีต
และเรื่องราวน่ากลัวต่างๆมากมายที่เราจำได้ไม่หมด
อย่างเช่นเรื่องราวของการสังหารนักบุญบางคนในอดีตอย่างโหดเหี้ยม, เรื่องราวของคนที่ทรมานตัวเองบนเสาสูงกลางเมือง โดยเขาเล่าเรื่องนี้ในแบบ “กระแสสำนึก” เรื่องราวของฆาตกรโรคจิตแต่ละคนไหลเลื่อนเข้าหากัน
และในบางครั้งเขาก็เล่าเรื่องของฆาตกรโรคจิตในเยอรมนี
แต่ภาพที่เราเห็นในหนังเป็นใบหน้าของฆาตกรโรคจิตในฝรั่งเศส
3.การเล่าเรื่องแบบคนบ้าในหนังเรื่องนี้มันน่ากลัวมาก
และ monologue ของตัวละครในเรื่องนี้มันเหมือนคนบ้าจริงๆ
เพราะเราเคยดูวิดีโอชุด THE INSANE (2006, Araya Rasdjarmrearnsook) ที่เป็นการสัมภาษณ์ผู้หญิงบ้าราว 11 คน
และเราก็พบว่าลักษณะของ monologue ใน THE GOLDEN
LEGEND มันเหมือนกับใน THE INSANE มากๆ
คือเหมือนกันในแง่ “โครงสร้าง” นะ
มันเป็นการเล่าเรื่องแบบที่ “การเชื่อมโยงแต่ละประโยคเข้าด้วยกัน”
มันวิปริตผิดเพี้ยนไปหมดน่ะ คือเราอาจจะฟังแต่ละประโยครู้เรื่อง
แต่หลายๆครั้ง topic ที่พูดมันกระโดดข้ามไปข้ามมาในแบบที่เชื่อมโยงไม่ได้ด้วยเหตุผลอีกต่อไป
เราก็เลยทึ่งมากๆที่ THE GOLDEN LEGEND สามารถจำลองลักษณะการพูดของคนบ้าออกมาได้เหมือนจริงมากๆ
แต่ประเด็นที่ตัวละครใน THE
GOLDEN LEGEND พูดไม่ได้เหมือนกับใน THE INSANE นะ เพราะคนบ้าจริงๆใน THE INSANE ไม่ได้พูดถึงฆาตกรโรคจิต
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะพูดถึงชีวิตตัวเองในแบบที่พิสดาร
4.นอกจาก monologue ใน THE
GOLDEN LEGEND จะน่าสนใจในแง่วิธีการพูดแล้ว
ประเด็นที่มันพูดก็น่ากลัวมากๆด้วย
คือการพูดถึงฆาตกรโรคจิตที่มีตัวตนจริงหลายคนในอดีต
และเรื่องราวเฮี้ยนๆน่ากลัวๆที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต อย่างเช่นตำนานนักบุญในศาสนา
มันเป็นอะไรที่สร้างความกลัวแก่เราได้มากกว่าการดูหนังสยองขวัญน่ะ
เพราะเวลาเราดูหนังสยองขวัญ เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องแต่งที่จงใจให้เรากลัว เราก็เลย
treat มันเป็น “ความน่ากลัวภายนอกตัวเรา”
แต่เวลาที่เราดู THE
GOLDEN LEGEND แล้วฟังคนโรคจิตพูดถึง “ความโรคจิตของมนุษย์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต”
มันเหมือนกับการที่เราได้ลองก้าวเดินเข้าไปสำรวจจิตใจมนุษย์จริงๆน่ะ
และก็พบว่าจิตใจมนุษย์จริงๆนี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าบ้านผีสิงเสียอีก
เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า
การดูหนังสยองขวัญโดยทั่วไปเหมือนกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงน่ะ
มันสนุกตื่นเต้นน่าหวาดกลัว แต่จบแล้วก็จบกัน
เที่ยวบ้านผีสิงเสร็จเราก็ไปเที่ยวซาวน่าต่อได้อย่างไม่มีอะไรติดค้างในใจ
แต่การดู THE GOLDEN LEGEND มันเหมือนกับการเปิดเปลือยให้เห็นซอกหลืบเร้นลับที่อาจจะซ่อนอยู่ในจิตใจมนุษย์แต่ละคนน่ะ
เพราะฉะนั้นพอดูหนังเรื่องนี้จบแล้วเราจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันยังไม่จบ
เพราะมันทำให้เราตระหนักถึงมิติมืดอะไรบางอย่างที่ซ้อนทับอยู่กับโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ประจำวันในทุกวันนี้
มันเหมือนกับไม่ได้ทำให้เรากลัว “อะไรข้างนอก” แต่กลัว “อะไรข้างใน” กลัวสิ่งที่อยู่ข้างในใจมนุษย์แต่ละคน
5.งานด้านภาพของหนังเรื่องนี้สุดตีนมากๆ
ถูกใจเรามากๆ เพราะมันเป็นการถ่าย scrap book ที่รวบรวมภาพต่างๆหลากหลายมาไว้ด้วยกัน
โดยเฉพาะภาพประกอบหนังสือแบบโบราณ ซึ่งมันหลอนมากๆสำหรับเรา
คือเวลาเราเปิดดูหนังสือภาษาอังกฤษโบราณๆ
แล้วเห็นภาพประกอบหนังสือพวกนี้ เรามักจะชอบ+กลัวมันในขณะเดียวกันน่ะ
คือเราว่ามันมีเสน่ห์แบบหลอนๆดี เหมือนกับว่าแต่ละภาพอาจจะมีคำสาปแม่มดแฝงอยู่
อะไรทำนองนี้ แต่เราก็ไม่ได้กลัวมันมากนัก
เพราะเรารู้ว่าภาพเหล่านี้ถูกใช้ประกอบเนื้อหาอะไรในหนังสือแต่ละเล่ม
ภาพเหล่านี้มันมีที่มาที่ไปยังไง มันมีเหตุผลในการดำรงอยู่ของมันในหนังสือเล่มนั้น
แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้
ภาพเหล่านี้ถูกตัดออกมาจากหนังสือดั้งเดิมของมัน
เพราะฉะนั้นพลังความหลอนของมันก็เลยเปล่งออกมาอย่างเด่นชัด
เพราะมันไม่ได้ถูกกำกับควบคุมด้วยเนื้อหาในหนังสือดั้งเดิมของมันอีกต่อไป
และในหลายๆครั้งมันก็ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวละครใน THE GOLDEN LEGEND พูดอยู่ด้วย
เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้ใช้ศักยภาพความหลอนของภาพวาดแบบโบราณได้อย่างเต็มที่
No comments:
Post a Comment